หอพักขอนแก่น,หอพัก ขจรศักดิ์ ขอนแก่น, หอพัก ศศิธร ขอนแก่น, หอพัก ถูก ขอนแก่น, หอพัก อยู่สบาย ขอนแก่น หน้าค่าย ร.8 ใกล้สนามบินขอนแก่น,

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - bruary

หน้า: [1]
1
การวางแผนเกษียณเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตในวัยเกษียณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การใช้ประกันสุขภาพและสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพของคุณในอนาคต มาดูกันว่าควรทำอะไรบ้างเพื่อวางแผนเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพ



1. วางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ
    เริ่มออมเงินตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อสะสมทุนสำหรับอนาคต
    เลือกแผนการออมที่เหมาะสม เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
    คำนวณเป้าหมายเงินเกษียณให้ชัดเจน เพื่อวางแผนการออมและลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

2. เลือกประกันสุขภาพเพื่อความคุ้มครองในวัยเกษียณ
    เลือกประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่ารักษาในโรงพยาบาล ค่าผ่าตัด หรือโรคร้ายแรง
    ควรเลือกแผนประกันที่สามารถต่ออายุได้ง่ายและคุ้มค่ากับเบี้ยประกัน
    ตรวจสอบความคุ้มครองและเงื่อนไขของกรมธรรม์อย่างละเอียด เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

3. สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อการวางแผนเกษียณ
    ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษี และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
    รายละเอียดสิทธิ์ลดหย่อนภาษีในแต่ละปี ควรตรวจสอบตามประกาศของกรมสรรพากร
    การวางแผนภาษีอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณเหลือเงินมากขึ้นในวัยเกษียณ

4. คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อการวางแผนเกษียณที่ประสบผลสำเร็จ
    เรียนรู้และติดตามข้อมูลข่าวสารทางด้านการเงินและประกัน
    ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและประกันเพื่อวางแผนอย่างมืออาชีพ
    ปรับแผนตามสถานการณ์และเป้าหมายชีวิตของคุณอย่างต่อเนื่อง


การวางแผนเกษียณที่ดีต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ การเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะสมและใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่ จะช่วยให้คุณมีความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพในอนาคตอย่างยั่งยืน ซื้อประกันออนไลน์



2
วัสดุที่นิยมใช้ทำก๊อกน้ำฝักบัว คือ สแตนเลสเนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และปลอดภัยจากสารตกค้างประเภทโลหะหนัก ซึ่งก๊อกน้ำฝักบัวมีทั้งหมด 2 ประเภท สามารถเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน ได้แก่

    ก๊อกเดี่ยว คือ ก๊อกน้ำที่สามารถเปิดใช้น้ำเย็นได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    ก๊อกผสม คือ ก๊อกน้ำที่สามารถเปิดใช้ได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น โดยมีทั้งแบบก้านโยกซ้าย - ขวาซึ่งมีสัญลักษณ์บอกน้ำร้อนและน้ำเย็นอยู่ที่ตัวก๊อก และก๊อกที่แยกจุดเปิดน้ำร้อนและน้ำเย็นเป็นสองฝั่งเพื่อปรับระดับความร้อน – เย็นตามความต้องการ ซึ่งการติดตั้งมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นก๊อกที่ติดตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์, ก๊อกที่ติดตั้งอยู่กับอ่างล้างหน้า และก๊อกที่ติดตั้งออกจากผนัง



รูปแบบการติดตั้งชุดฝักบัวตามการใช้งาน
นอกจากรูปแบบก๊อกน้ำและฝักบัวที่เหมาะกับการใช้งานแล้ว รูปแบบการติดตั้งก๊อกน้ำตามการใช้งานก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง เนื่องจากต้องเลือกการติดตั้งให้เหมาะสมกับแบบห้องน้ำ โดยรูปแบบการติดตั้งก๊อกมีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
   
1. ก๊อกน้ำและฝักบัวแบบฝังผนัง
    เหมาะสำหรับอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า และฝักบัว เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถเลือกตำแหน่งที่ต้องการติดตั้งได้ เหมาะสำหรับห้องน้ำที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก เพราะช่วยประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งฝักบัวในห้องน้ำ และยังเลือกติดตั้งคู่กับสุขภัณฑ์อื่น ๆ ได้ตามความต้องการ
   
2. ก๊อกน้ำและฝักบัวแบบตั้งพื้น
    เหมาะสำหรับการใช้งานกับอ่างอาบน้ำ มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับห้องน้ำที่ต้องการเน้นเรื่องดีไซน์ในการออกแบบ สำหรับก๊อกน้ำแบบตั้งพื้นถูกออกแบบให้เลือกจับคู่กับอ่างอาบน้ำแบบต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว เหมาะกับการตกแต่งทุกสไตล์
   
3. ก๊อกน้ำแบบตั้งเคาน์เตอร์
    เหมาะกับการเป็นก๊อกอ่างล้างหน้า ทั้งอ่างล้างหน้าแบบวาง หรืออ่างล้างหน้าฝังบนเคาน์เตอร์ที่มีช่องสำหรับติดตั้งก๊อกน้ำ ข้อดีคือสามารถบำรุงรักษาได้สะดวก

วิธีการทำความสะอาดและดูแลรักษาก๊อกน้ำฝักบัว
นอกจากการเลือกก๊อกน้ำฝักบัวที่มีคุณภาพใช้งานได้สะดวกสบายแล้วการดูแลรักษาก็สำคัญ ควรใช้วิธีทำความสะอาดและดูแลรักษาก๊อกให้เหมาะสม เพื่อให้ก๊อกสวยงามน่าใช้งานอยู่เสมอ โดยมีวิธีการง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

    1. ใช้น้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน
    โดยใช้ฟองน้ำหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน แล้วค่อย ๆ เช็ดบริเวณก๊อกซิงค์ จะช่วยทำความสะอาดคราบสกปรกหรือความหมองคล้ำออกจากก๊อกได้เป็นอย่างดี
    2. ใช้น้ำส้มสายชู
    สำหรับก๊อกน้ำและฝักบัวที่มีคราบไขมันเกาะติด ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำค่อย ๆ ถูลงบนคราบสกปรก หรือจะเลือกใช้มะนาวหั่นครึ่งถูลงบนคราบไขมัน ก็ช่วยเพิ่มความสะอาดได้มากขึ้นเช่นกัน
    3. ใช้ครีมขัดเงาหรือครีมขัดโลหะ
    สำหรับบ้านที่ใช้ก๊อกน้ำและหัวฝักบัวที่ผลิตจากโครเมียม ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ และครีมขัดเงาหรือครีมขัดโลหะ ถูเบา ๆ จะช่วยให้ก๊อกกลับมาเงางามเหมือนใหม่ได้
    4. หลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
    ควรหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดก๊อกและวาล์วฝักบัวอาบน้ำด้วยสารเคมีที่ฤทธิ์ทำลายพื้นผิวหรือสารที่มีส่วนประกอบของคลอไรด์ เช่น สารฟอกขาว เพราะสารเคมีประเภทนี้จะกัดกร่อนพื้นผิวก๊อกน้ำทำให้เกิดรอยขีดข่วนขึ้นได้
    5. ใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดให้เหมาะสม
    นอกจากการหลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรงที่จะกัดกร่อนพื้นผิวก๊อกและหัวฝักบัวแล้ว ควรใช้ฟองน้ำหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ทำความสะอาดก๊อกเท่านั้น เพราะหากฝอยขัดหรือแผ่นฟองน้ำแบบหยาบก็อาจทำให้ก๊อกมีรอยขีดข่วนได้เช่นกัน

3

          โรคตับอาการ หรือ ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) คือ การที่ตับมีอาการอักเสบ และติดเชื้อ หากพูดถึงไวรัสตับอักเสบ คนส่วนใหญ่คงคุ้นหูกับ “โรคไวรัสตับอักเสบบี” เพราะพบบ่อยในประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง AEC แต่ความจริงแล้วไวรัสตับอักเสบมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี ซึ่งไวรัสตับอักเสบดี และอี พบได้น้อยมากในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามโรคไวรัสตับอักเสบ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ จึงควรได้รับการตรวจรักษา เพื่อป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว
         


 การติดเชื้อ และอาการของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ :
    ติดจากการทานอาหารจากผู้ป่วย
    การล้างมือไม่สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ
    การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
    ดื่มน้ำที่มีเชื้อแฝงอยู่

*** ไวรัสตับอักเสบเอ จะไม่ติดต่อทางน้ำลาย และปัสสาวะ ***
           อาการผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ : เป็นไข้ตัวร้อน ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แน่นบริเวณชายโครงด้านขวา ท้องร่วง อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม และมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ไวรัสตับอักเสบบี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี :
    การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโดยไม่สวมถุงยางอนามัย
    การใช้เข็มฉีดยา เข็มสักตามตัว และการเจาะหู รวมถึงของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน และที่ตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
    การติดเชื้อขณะคลอดจากแม่ที่มีเชื้อ (ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90%)
    การสัมผัสเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
*** ไวรัสตับอักเสบบี จะไม่ติดต่อทางลมหายใจ อาหารหรือน้ำดื่ม การให้นม และการจูบกัน (ถ้าปากไม่มีแผล) ***

อาการผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี : แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
    ระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือน หลังติดเชื้อ
        - มีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดท้องด้านชายโครงขวา
        - อาการอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เป็นผื่น ปวดข้อ

           อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ซึ่งมักใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนน้อย (5-10%) ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง

    ระยะเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
        พาหะ คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการแต่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ดังนั้นการแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ผู้ป่วยที่เป็นพาหะผลการตรวจเลือดจะพบค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        ตับอักเสบเรื้อรัง คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย และตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ (การติดเชื้อแบบเรื้อรังมักพบบ่อยในเด็กที่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด)
        ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่แสดงอาการ แต่ในบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือเบื่ออาหาร

ไวรัสตับอักเสบซี

           การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี : สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือการมีเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่านการให้นมบุตร และการไอ จามรดกัน
           อาการผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี : อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบจะมีการคล้ายกัน คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง(หรือที่เรียกกันว่าดีซ่าน) มีปัสสาวะสีเข้ม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดชายโครงขวา ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ

           ทั้งนี้การที่จะแยกว่าอาการตับอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใด ต้องทำการตรวจร่างกายโดยอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ตรวจหาเชื้อไวรัสและภูมิคุ้มกัน ภูมิที่แสดงถึงการติดเชื้อ ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ และสามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อได้ โดยการไม่นำตัวเองไปเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามที่กล่าวมาข้างต้น และฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไว้รัสตับอักเสบชนิดต่างๆ

4
นี่คือคำถามที่สร้างความสงสัยให้ใครหลายคนทันที โดยเฉพาะคนที่กำลังจะตัดสินใจทำประกันสุขภาพ หลังจากรู้ว่าสมาคมประกันชีวิตไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ ‘ส่วนจ่ายร่วม’ หรือ ‘Copayment’ ในปีต่อ เป็นเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันสุขภาพฉบับใหม่ที่เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

เงื่อนไข Copayment 3 กรณีที่ต้องรู้
เราทุกคนต่างรู้กันดีว่า ความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ การมีประกันสุขภาพที่คุ้มครองครอบคลุมจึงช่วยกระจายความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาพยาบาลไม่ให้เราต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเอง แต่ปัญหาที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่มักเลือกแอดมิท (Admit) หรือนอนค้างคืนที่โรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในจากอาเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งผลให้อัตราการเคลมค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเกินกว่าความเป็นจริง

กรณี 1 : การเคลมค่ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) จากการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) หากเข้าเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อนี้จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาพยาบาลในปีกรมธรรม์ถัดไป
    จำนวนการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง/ปีกรมธรรม์
    อัตราเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย หมายถึง อาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการไม่รุนแรง เพราะเป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รักษาง่ายและหายได้เองรักษาได้ด้วยยาสามัญประจำบ้าน หรือสามารถฟื้นตัวจากอาการป่วยได้เองด้วยภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไม่มีอาการภาวะแทรกซ้อน

กรณี 2 : การเคลมค่ารักษาผู้ป่วย (IPD) จากการเจ็บป่วยโรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่) หากเข้าเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อนี้จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาพยาบาลในปีกรมธรรม์ถัดไป
    จำนวนการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง/ปีกรมธรรม์ อัตราเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ
    การเคลมค่ารักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยโรคทั่วไป หมายถึง โรคใด ๆ ที่ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ โรคร้ายแรง และไม่ใช่อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) ให้นับรวมเป็นการเจ็บป่วยทั่วไปทั้งหมด



กรณี 3 : เข้าเงื่อนไขทั้งกรณี 1 และกรณี 2 จะต้องร่วมจ่าย 50% ทุกค่ารักษาพยาบาลในปีกรมธรรม์ถัดไป
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยเพิ่มอีกว่า ถ้าหากเข้าเงื่อนไข Copayment แล้ว จะมีผลตลอดไปในทุกปีกรมธรรม์หรือไม่ ?
คำตอบคือ Copayment ไม่ใช่การจ่ายร่วมตั้งแต่บาทแรกและไม่ใช่เงื่อนไขถาวร จะขึ้นอยู่กับการเคลมค่ารักษาพยาบาลของผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ โดยบริษัทประกันจะพิจารณาใหม่ในทุก ๆ รอบปีกรมธรรม์ หากปีกรมธรรม์ใดไม่เข้าเงื่อนไข Copayment ทุกกรณี ผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพก็ไม่ต้องจ่ายร่วมในปีกรมธรรม์ถัดไปนั่นเอง

จ่ายร่วมแต่มั่นคงระยะยาว
ขอย้ำอีกที หากเข้าใจเงื่อนไข Copayment อย่างครบถ้วน ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรือน่ากังวล ถึงแม้ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ที่ทำให้ผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนทันที เพราะขึ้นอยู่กับการเคลมที่ต้องเข้าเงื่อนไขเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถบริหารจัดการได้ เพื่อไม่ให้การเคลมค่ารักษาพยาบาลเข้าเงื่อนไข Copayment
 
หลักเกณฑ์ ‘ส่วนจ่ายร่วม’ หรือ ‘Copayment’ นี้ ยังช่วยสร้างระบบประกันสุขภาพที่มั่นคง ซึ่งส่งผลดีกับทุกคนในระยะยาวทั้ง สร้างความตระหนักรู้ในการใช้บริการด้านการแพทย์ เพราะ Copayment ทำให้ผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพจะคิดไตร่ตรองมากขึ้นว่าอาการเจ็บป่วยที่กำลังเป็นอยู่นั้นรุนแรงมากพอที่จะต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือไม่ และใช้บริการด้านการแพทย์ตามความจำเป็น พร้อมกับหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอมากขึ้น

รวมถึง สร้างความยั่งยืนให้ระบบประกันสุขภาพ เพราะหนึ่งในปัญหาที่ทำให้คนจำนวนมากยกเลิกการต่อสัญญากรมธรรม์ประกันสุขภาพ คือ จ่ายเบี้ยประกันต่อไปไม่ไหว Copayment จึงช่วยลดความเสี่ยงและแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ เพราะในเมื่อบริษัทประกันไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงเกินจำเป็น ก็จะสามารถกำหนดเบี้ยประกันสุขภาพให้อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล เพิ่มโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงประกันสุขภาพได้มากขึ้นด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ คือ การทำความเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างละเอียด และเลือกแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน เพราะจะทำให้ได้รับความคุ้มครองและผลประโยชน์จากประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตนเอง

อ้างอิง
    สมาคมประกันชีวิตไทย. (มกราคม 2568). รู้ทันอย่างไม่ตระหนกกับ “ส่วนจ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย”. วารสารประกันชีวิต, 013/2568, 2-13.


5
โถสุขภัณฑ์เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญภายในห้องน้ำ การเลือกรูปทรงของ ขนาดชักโครก โถสุขภัณฑ์จึงสำคัญทั้งในแง่ของการใช้งาน และดีไซน์ที่สะท้อนสไตล์ของคุณ

เมื่อพูดถึงห้องน้ำ สิ่งแรกที่คนนึกถึงมักเป็น “โถสุขภัณฑ์” หรือ ทั่วไปเรียกว่า ขนาดชักโครก เพราะเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ ไม่ได้เพียงแค่ใช้เพื่อการขับถ่ายหรือทำธุระส่วนตัวเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับพื้นที่ห้องน้ำของคุณให้สวยงามมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะเลือกว่าควรใช้โถสุขภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีด้านความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่ดีแล้วนั้น การเลือกรูปทรงของโถสุขภัณฑ์ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน มาดูว่าโถสุขภัณฑ์โดยทั่วไปนั้นมีรูปทรงอย่างไรบ้าง และแต่ละทรงเหมาะกับสไตล์ห้องน้ำแบบไหน



รูปทรงของโถสุขภัณฑ์ มีอะไรบ้าง
ในความเป็นจริงแล้ว โถสุขภัณฑ์ หรือ โถชักโครก มีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปทรง แต่โดยทั่วไปมักแบ่งออกเป็น 3 รูปทรงใหญ่ ๆ ซึ่งแต่ละทรงนั้น มีจุดดีและจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. โถสุขภัณฑ์รูปทรงอีลองเกต (Elongated)
สุขภัณฑ์รูปทรงอีลองเกต มีลักษณะเป็นทรงเรียวยาว นับเป็นหนึ่งในทรงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นทรงพื้นฐานของโถสุขภัณฑ์ มีให้เลือกด้วยกันหลากหลายรุ่น หลากหลายดีไซน์ สามารถเลือกติดตั้งคู่กับฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและสุขอนามัยภายในห้องน้ำได้ โดยมีจุดที่ต้องคำนึงถึงคือ หากเป็นโถสุขภัณฑ์ทรงอีลองเกต (ทรงยาว) จำเป็นต้องมีระยะรูยึดน็อตที่โถสุขภัณฑ์เพื่อติดตั้งฝารองนั่ง 14 ซม. และระยะจากรูยึดน็อตของฝารองนั่งด้านใดด้านหนึ่งถึงหม้อน้ำเป็นระยะอย่างน้อย 5 ซม. ก็จะสามารถใส่คู่กับฝารองนั่งอัตโนมัติได้พอดี

ทั้งนี้ โถสุขภัณฑ์ทรงอีลองเกต เหมาะสำหรับดีไซน์ห้องน้ำทั่วไป ติดตั้งได้ทั้งห้องน้ำขนาดเล็ก มีพื้นที่จำกัด ไปจนถึงห้องน้ำขนาดกว้าง เพราะใช้พื้นที่ในการติดตั้งค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับทรงอื่น ๆ โดยหากห้องน้ำของคุณเป็นสไตล์โมเดิร์น แต่ยังมีความผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติ ก็สามารถเลือกใช้สุขภัณฑ์อัจฉริยะรูปทรงอีลองเกตได้ ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของดีไซน์ที่สวยงาม และฟังก์ชันอัตโนมัติที่ช่วยลดการสัมผัสตัวสุขภัณฑ์ เข้ากับไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิตแบบ New Normal

2. โถสุขภัณฑ์รูปทรง D (D-Shape)
สุขภัณฑ์ทรงนี้จะต่างจากทรงอีลองเกตเล็กน้อย ตรงที่จะมีความกว้างมากกว่า สามารถนั่งลงบนโถสุขภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ ลักษณะรูปทรงคล้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษตัว D ซึ่งหากเป็นโถสุขภัณฑ์ธรรมดานั้น สามารถเลือกติดตั้งคู่กับฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ได้เช่นเดียวกับทรงอีลองเกต แต่จำเป็นต้องพิจารณาถึงขนาดของฝารองนั่ง รวมถึงฝาอัตโนมัติต้องเป็นทรง D เช่นเดียวกัน
สำหรับสุขภัณฑ์รูปทรง D-Shape นั้นจะมีดีไซน์โค้งมน เรียบหรู ช่วยให้ห้องน้ำของคุณดูนุ่มนวล ไม่ขรึมมากจนเกินไปนัก เข้ากันได้ดีกับกระเบื้องห้องน้ำโทนสีอ่อน เช่น สีครีม หรือ สีเบจ จะช่วยให้ห้องน้ำของคุณดูสว่าง สดใส มองแล้วรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

3. โถสุขภัณฑ์รูปทรงสแควร์ อีลองเกต (Square Elongated)
สำหรับใครที่อยากมองหาความแปลกใหม่ นอกเหนือไปจากทรงกลมมนที่คุ้นเคย โถสุขภัณฑ์รูปทรงสแควร์ อีลองเกต อาจตอบโจทย์ที่คุณมองหา เนื่องจากมีดีไซน์โฉบเฉี่ยว เหลี่ยมมุมของสุขภัณฑ์ ช่วยยกระดับให้พื้นที่ห้องน้ำของคุณดูโดดเด่น มีสไตล์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากติดตั้งคู่กับพื้นกระเบื้องห้องน้ำลายก้างปลา ก็จะทำให้ภาพรวมของห้องดูกลมกลืน เป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่ก็ยังคงมีลูกเล่นที่ทำให้ไม่น่าเบื่อเกินไปนัก สุขภัณฑ์ทรงสแควร์ อีลองเกต มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีพื้นที่ฝารองนั่งค่อนข้างกว้าง นั่งสบาย เหมาะสำหรับฝารองนั่งชักโครก ผู้สูงอายุ และผู้ที่ชอบใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนาน ๆ แต่ควรติดตั้งในห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับติดตั้งมากกว่ารูปทรงก่อนหน้านี้

6
shopping mall bangkok ร่วมเข้าสู่การเลือกใช้สีสันในแฟชั่นซึ่งสะท้อนถึงอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการจัดการความ น่าตื่นเต้นและแปลกใหม่ที่จะเติมเต็มตู้เสื้อผ้าของคุณให้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ปี 2025 เป็นปีที่สีสันมีบทบาทสำคัญในการแต่งตัว โดยเฉพาะการเลือกโทนสีที่สะท้อนอารมณ์และพลังบวก มาดูกันว่าโทนสีเสื้อผ้าแฟชั่นไหนมาแรงในปีนี้



1. สีเหลืองเลมอน (Lemon Yellow)
ให้ความรู้สึกสดใส มีพลัง เหมาะกับฤดูร้อน
มิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่ายกับสีขาว หรือสีฟ้าอ่อน

2. สีฟ้าคราม (Cerulean Blue)
โทนสีฟ้าสบายตา ให้ความรู้สึกสงบและมีสไตล์
เหมาะกับลุคมินิมอลและสไตล์วินเทจ

3. สีชมพูบับเบิลกัม (Bubblegum Pink)
สไตล์ Coquette และ Barbiecore ยังมาแรง
แมทช์กับสีแดงหรือสีเบจได้อย่างลงตัว

4. สีส้มแมนดาริน (Mandarin Orange)
สีส้มสดใสที่เพิ่มความสนุกให้กับการแต่งตัว
ใส่คู่กับสีขาวหรือสีดำให้ลุคดูโดดเด่น

5. สีเขียวมะกอก (Olive Green)
โทนสีเอิร์ธโทนที่เหมาะกับสไตล์มินิมอลและสตรีทแวร์
แมทช์กับสีกากีหรือสีเบจให้ดูแพงขึ้น

6. สีเทาเข้ม (Charcoal Grey)
สีที่ให้ความลึกลับและหรูหราในแบบโมเดิร์น
เหมาะกับเสื้อสูทและลุคเท่ ๆ

7. สีเมทัลลิกและประกายมุก (Metallic & Pearl White)
เทรนด์แฟชั่นอนาคต เน้นความล้ำสมัย
สีเงินและทองมาแรง โดยเฉพาะในแฟชั่นสตรีทและปาร์ตี้ลุค

หากคุณกำลังมองหาสถานที่ชอปปิงที่สามารถเติมเต็มทุกความต้องการด้านแฟชั่นและราคาสุดคุ้ม แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ shopping mall bangkok คือคำตอบที่คุณไม่ควรพลาด! มาที่นี่เพื่อช้อปสินค้าดีๆ และมีสไตล์ในราคาที่คุณพอใจ แล้วจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน



7
มะเร็งรังไข่และมะเร็งปากมดลูกเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในกลุ่มผู้หญิง อาการมะเร็ง รังไข่ สามารถป้องกันและตรวจพบได้แต่เนิ่นๆ หากเข้าใจอาการและการตรวจคัดกรองอย่างถูกต้อง บทความนี้จะชี้แนะข้อมูลสำคัญเพื่อให้คุณดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ



อาการของมะเร็งรังไข่
มะเร็งรังไข่มักมีอาการที่ไม่ชัดเจนในระยะแรก แต่บางอาการที่อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยง ได้แก่:

    - ปวดท้องน้อยหรือหลัง
    - ความรู้สึกอึดอัดหรือเต็มในช่องท้อง
    - การเปลี่ยนแปลงของการมีประจำเดือน
    - การเบื่ออาหาร น้ำหนักลดหรือเพิ่มโดยไม่ทราบสาเหตุ
    - ความรู้สึกป่องหรือแน่นท้องเป็นเวลานาน
    - ความรู้สึกอยากปัสสาวะบ่อยหรือไม่สบายขณะปัสสาวะ

หากคุณพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประกอบด้วย:

    - การตรวจ Pap Smear: เป็นการเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ
    - การตรวจ HPV: ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก

แนะนำให้ผู้หญิงเริ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 21 ปี และทำซ้ำทุกปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อการป้องกันและการรักษาแต่เนิ่นๆ
เคล็ดลับดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันมะเร็ง

    - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล
    - ออกกำลังกายเป็นประจำ
    - หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
    - เข้ารับการตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
    - สังเกตอาการผิดปกติและไปพบแพทย์ทันทีหากมีความกังวล

การรู้จักอาการของมะเร็งรังไข่และการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพของผู้หญิงอย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งที่ง่ายและสามารถช่วยชีวิตได้ หากคุณใส่ใจและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะสามารถลดความเสี่ยงและดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคมะเร็งในระยะยาว


8
ห้องน้ำเป็นพื้นที่สำคัญที่ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและรีเฟรชตัวเองในแต่ละวัน การออกแบบห้องน้ำให้ดีและเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบ สบาย และเติมเต็มความสุขในการใช้งาน ร่วมทำความรู้จักกับแบบห้องน้ำที่ดี ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย พร้อมเคล็ดลับการออกแบบและตกแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ



แบบห้องน้ำที่ดี ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
    ความเป็นระเบียบ และการใช้งานที่สะดวกสบาย
จัดเก็บของใช้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ให้รกสายตา คือการจัดระเบียบสิ่งของให้เข้าที่เข้าทาง และซ่อนสิ่งของที่ไม่จำเป็นให้พ้นจากสายตา เพื่อให้บ้านดูสะอาดตาและเป็นระเบียบ
การแบ่งโซนเปียกและแห้ง ห้องน้ำควรมีการแยกโซนเปียก (เช่น ฝักบัว, อ่างอาบน้ำ) และโซนแห้ง (เช่น โถสุขภัณฑ์, อ่างล้างหน้า) ที่แยกจากกันอย่างชัดเจน
การระบายอากาศ ห้องน้ำควรมีระบบระบายอากาศที่ดีเพื่อป้องกันกลิ่นอับ และความชื้นสามารถทำช่องระบายอากาศติดตั้งพัดลมดูดอากาศ หรือมีหน้าต่างที่ให้แสงสว่างส่องเข้าถึง มีพื้นที่วางอุปกรณ์และของใช้ที่ใช้งานได้ง่าย

    การเลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัย และทนทาน
        กระเบื้องกันลื่นสำหรับพื้นที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงของการลื่นไถลและอุบัติเหตุจากการลื่นล้ม โดยมีพื้นผิวหยาบกว่ากระเบื้องทั่วไป เหมาะสำหรับปูพื้นในบริเวณที่เสี่ยงต่อการเปียก
        วัสดุที่ทนต่อความชื้นและเชื้อรา ควรเป็นวัสดุที่ดูดซึมน้ำต่ำหรือกันน้ำได้ กระเบื้องพอร์ซเลน กระเบื้องแกรนิต กระเบื้องหินชนวน และผนัง PVC รวมถึงฝ้าที่ทำจากยิปซั่มกันชื้น หรือไฟเบอร์ซีเมนต์

    การติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
        อ่างอาบน้ำหรืออ่างจากุซซี่ เป็นอ่างอาบน้ำที่ติดตั้งเครื่องอัดอากาศ เพื่อให้สามารถปล่อยอากาศออกมาให้เป็นเหมือนเครื่องนวด
        ฝักบัว Rain Shower ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเหมือนได้อาบน้ำกลางธรรมชาติ น้ำไหลลงบนร่างกายอย่างนุ่มนวลและทั่วถึง ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวามากขึ้น
ที่ฉีดชำระอัตโนมัติ (automatic bidet) คืออุปกรณ์ที่ติดตั้งกับฝารองนั่งชักโครก ทำหน้าที่ฉีดน้ำเพื่อทำความสะอาดหลังการขับถ่าย โดยมีระบบควบคุมอุณหภูมิและแรงดันน้ำที่สามารถปรับได้

    การใช้สี และแสงให้เหมาะสม
        โทนสีอ่อน ๆ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย โทนสีอ่อนสามารถช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสงบได้ดี โดยเฉพาะสีฟ้าอ่อน, เขียวอ่อน, และสีชมพูอ่อน ซึ่งมักถูกนำมาใช้เพื่อสร้างบรรยากาศที่น่าผ่อนคลาย
        แสงไฟนวลและสบายตา ความสว่างของห้องน้ำควรเป็นแสงไฟสีขาวนวล (Cool White) ที่มีอุณหภูมิสีประมาณ 4,000 – 5,000 K เป็นแสงที่ให้ความสว่างชัดเจน และสามารถมองเห็นอุปกรณ์ห้องน้ำได้ดี เพื่อการใช้งานที่ปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุด้วย

แบบห้องน้ำที่ดีควรเน้นความสงบ สบาย และเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้โทนสีอ่อน วัสดุธรรมชาติ และการจัดวางพื้นที่อย่างลงตัว จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและทำให้ทุกครั้งที่ใช้งานเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับทุกคน หากอยากทำให้ห้องน้ำเป็นพื้นที่แห่งความสุขและความผ่อนคลาย ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และตกแต่งให้เหมาะสมตามแนวทางนี้ รับรองว่าจะได้พื้นที่ในฝันที่ช่วยเติมเต็มความสุขในทุกวัน

9
สาเหตุร่วมที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย

    สภาพภูมิศาสตร์ มักอยู่บริเวณที่ราบสูงประเทศ พบมากในภาคอีสานและเหนือ
    สภาพอากาศและฤดูกาลในฤดูร้อน จะพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคนิ่วทางเดินปัสสาวะมาก อาจเนื่องมาจากการเสียเหงื่อมาก ทำให้ปัสสาวะเข้มข้นทำให้นิ่วโตเร็วขึ้น จึงเกิดอาการขึ้น
    ปริมาณน้ำดื่ม ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะถ้าดื่มน้ำดื่ม และยังอาจจะเกี่ยวกับเกลือแร่ที่ละลายในน้ำดื่มของแต่ละท้องถิ่น
    สภาพโภชนาการ การบริโภคอาหารนานาชนิดและการดื่มน้ำดื่ม เป็นผลให้มีการเพิ่ม/ลดของสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของก้อนนิ่ว เช่น การกินอาหารพวกเครื่องในสัตว์ , ยอดผัก , สาหร่ายจะทำให้เกิดกรดยูริกได้ การกินอาหารจำพวกผักที่มีสารออกซาเลต เช่น ผักโขม ผักแพว หน่อไม้ ชะพลู ก็จะมีโอกาสเกิดนิ่วพวกออกซาเลต เด็กเล็กที่ขาดสารอาหารพวกโปรตีนจะเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมาก การขาดวิตามินเอ หรือได้รับวิตามินดีมากเกินไปก็ทำให้เกิดนิ่วได้
    อาชีพ ผู้ที่มีอาชีพเกษตรกรทำงานกลางแจ้ง ก็จะมีการเสียเหงื่อมาก ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นก็อาจมีการตกผลึกของสารละลายในน้ำปัสสาวะเกิดนิ่วได้ ผู้ที่มีรายได้ต่ำก็จะบริโภคอาหารจำพวกแป้งและผักมาก โปรตีนน้อย ทำให้เกิดนิ่วจำพวกออกซาเลตได้ง่าย ผิดกันกับผู้ที่มีรายได้สูงมีการบริโภคอาหารที่มีโปรตีน, ไขมันมากกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นนิ่วพวกกรดยูริกและนิ่วแคลเซียมสูง



นิ่วในไต
    ผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตอาจจะไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ ถ้าหากมีอาการต่อไปนี้ก็ให้สงสัยว่าเป็นโรคไต ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเอว ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะเป็นเลือด หรือสีน้ำล้างเนื้อ หากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วยก็จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะเป็นหนองมีกลิ่นเหม็นคาว หากมีการอุดตันร่วมด้วยก็จะมีก้อนในท้องส่วนบนซ้ายหรือขวา หากมีนิ่วที่ไต 2 ข้างและประสิทธิภาพในการทำงานเสื่อมไป ผู้ป่วยก็จะมีอาการปัสสาวะน้อยลง บวม โลหิตจาง คลื่นไส้ อาเจียนผิวหนังแห้งคล้ำ และคัน ผู้ป่วยอาจจะซึม หรือไม่รู้สึกตัวถ้ามีของเสีย ค้างอยู่ในกระแสเลือดมาก

นิ่วในท่อไต
    ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดเอว หรือปวดเป็นพักๆ ในข้างที่มีนิ่วข้างนั้นๆ อาจจะมีปวดร้าวมาท้องน้อย หน้าขา ถุงอัณฑะ หรือ แคมอวัยวะเพศหญิง หากนิ่วอยู่ในท่อไตส่วนล่างใกล้กระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยก็จะมีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขุ่น เป็นหนอง หากผู้ป่วยมีไตข้างเดียว หรือมีนิ่วในไตทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยอาจจะไม่มีปัสสาวะออกมาเลย ผู้ป่วยอาจจะบวมน้ำ หอบ เหนื่อย ประสาทสับสน หรือไม่รู้สึกตัวได้

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
    ส่วนมากผู้ป่วยจะมีอาการปวดปัสสาวะ ปัสสาวะขัด ปัสสาวะสะดุด ปัสสาวะขุ่น หรือปัสสาวะเป็นสีเลือดจาง เมื่อหยุดเบ่งผู้ป่วยก็จะได้ปัสสาวะออกมาได้ใหม่และเกิดอาการขึ้นมาอีก

นิ่วในท่อปัสสาวะ
    นิ่วในท่อปัสสาวะจะหลุดลงมาจากกระเพาะปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขึ้นทันทีที่กำลังปัสสาวะไม่ออกมาเลยก็ได้ หากคลำดูตามท่อปัสสาวะก็จะคลำพบก้อนนิ่วแข็งๆ ได้

อาการแทรกซ้อน
    อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นกรวยไตอักเสบ อาการ และถ้าปล่อยไว้นานๆ มีการติดเชื้อบ่อยๆ ก็ทำให้เนื้อไตเสียกลายเป็นไตวายเรื้อรังได้

การวินิจฉัย
    มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจปัสสาวะ (พบมีเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก) ตรวจเลือด เอกซเรย์ไตด้วยการฉีดสี (Intravenous Pyelogram หรือ IVP) และอาจตรวจพิเศษอื่นๆ ถ้าจำเป็น ถ้าก้อนนิ่วเล็กอาจหลุดออกมาได้เอง แต่ถ้าก้อนใหญ่อาจจะต้องผ่าตัดเอาออก

การรักษา
    การรักษาโดยเฝ้าดูจะติดตามโดยการตรวจปัสสาวะว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ จะทำการติดตามโดย X-ray เป็นระยะดูการเปลี่ยนแปลง
    การรักษาโดยให้ยา นิ่วที่ได้ทำการวิเคราะห์ว่าเป็นนิ่วชนิดใดแล้วก็อาจให้ยาละลายนิ่วได้ นิ่วยูริกแอซิดก็ทำให้ยาทำให้ปัสสาวะเป็นด่างหรือร่วมให้ยาลดระดับยูริกเอซิด หรือซีสตีนในเลือดอาจให้ยาระงับความเจ็บปวดและยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
    การรักษาโดยการผ่าตัดเอานิ่วออก เมื่อนิ่วมีขนาดใหญ่ไตมีการอักเสบไตโป่งพอง หรือไตไม่ทำงานแล้ว
    การรักษาโดยใช้เครื่องสลายนิ่วด้วยพลังเสียง (Extracorporeal shok wave lithotripsy/ESWL) เหมาะสำหรับนิ่วที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3 ซม. และทางเดินปัสสาวะส่วนที่ต่ำกว่าไม่มีการตีบตัน เพื่อนิ่วที่สลายซึ่งมีขนาดเล็กลงสามารถผ่านปนมากับปัสสาวะได้
    การรักษาโดยใช้เครื่องส่องไตโดยผ่านท่อไต ใช้คลื่นเสียง Ultrasonic หรือ Laser ทำการสลายให้นิ่วมีขนาดเล็กลงแล้วคีบเอาออก

10
ทำความรู้จักกับ Modern Preppy
Modern Preppy เป็นสไตล์แฟชั่นที่นำกลิ่นอายความเนี้ยบและคลาสสิกของ เสื้อผ้าแฟชั่น Preppy มาปรับให้ทันสมัยและเหมาะกับยุคปัจจุบัน โดยมีการผสมผสานไอเทมร่วมสมัยเข้ากับลุคแบบนักเรียน Ivy League หรือการแต่งตัวแนวผู้ดีอังกฤษที่ดูภูมิฐานและเป็นระเบียบ



จุดเด่นของ Modern Preppy
1. การแมตช์เสื้อผ้าคลาสสิกกับความโมเดิร์น
เสื้อผ้าแฟชั่น อย่าง เสื้อโปโล เสื้อเชิ้ตคอปก กระโปรงเทนนิส กางเกงชิโน หรือเสื้อเบลเซอร์ที่เป็นไอเทมหลักของ Preppy ยังคงมีอยู่ แต่ถูกนำมาดีไซน์ใหม่ให้มีความสดใสมากขึ้น เช่น การใช้สีสันจัดจ้าน หรือการตัดเย็บที่มีความโฉบเฉี่ยว

2. ลวดลายและเท็กซ์เจอร์
ลายตาราง (Plaid), ลายทาง (Stripes) และลาย Argyle ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่เพิ่มลูกเล่นให้ดูทันสมัย เช่น การเล่นกับขนาดของลาย หรือการใช้สีที่โดดเด่น

3. สไตล์ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ดูแพง
Modern Preppy ไม่เน้นความเยอะ แต่ให้ความรู้สึก "Less is More" เช่น แมตช์เบลเซอร์สีคลาสสิกกับกางเกงยีนส์ทรงตรง หรือเสื้อเชิ้ตเรียบๆ กับกระโปรงเทนนิส เพิ่มความลงตัวด้วยเครื่องประดับเล็กๆ

Modern Preppy ไม่ใช่แค่ เสื้อผ้าแฟชั่น แต่เป็นการแสดงออกถึงไลฟ์สไตล์และรสนิยมที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว สถานที่ชอปปิงที่สามารถเติมเต็มทุกความต้องการด้าน เสื้อผ้าแฟชั่น shopping mall bangkok

11
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก๊อกอ่างล้างหน้าได้พัฒนาไปไกล ทั้งในด้าน เทคโนโลยี และ ดีไซน์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้งานในยุคใหม่ ก๊อกอ่างล้างหน้าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในห้องน้ำและเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ที่ส่งผลต่อความรู้สึกและความสะดวกในการใช้งานในแต่ละวัน ปัจจุบันนวัตกรรมก๊อกอ่างล้างหน้ามีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานและความสวยงาม เช่น ระบบเซนเซอร์แบบอัตโนมัติ ระบบประหยัดน้ำ และดีไซน์ที่ตอบโจทย์เทรนด์ทันสมัย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมก๊อกอ่างล้างหน้ารูปแบบต่าง ๆ พร้อมเคล็ดลับเลือกใช้อย่างคุ้มค่า



นวัตกรรมก๊อกอ่างล้างหน้า รูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ
1. ก๊อกอ่างล้างหน้าระบบเซนเซอร์อัตโนมัติ (Sensor Faucet) เป็นก๊อกน้ำที่เปิด-ปิดด้วยระบบเซ็นเซอร์โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสก๊อกโดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก ก๊อกน้ำแบบนี้ช่วยประหยัดน้ำ และยังมีฟังก์ชันอื่น ๆ เช่น การหยุดน้ำอัตโนมัติเมื่อใช้งานเกินเวลาที่กำหนด
    ลักษณะ: เปิด-ปิดน้ำโดยไม่ต้องสัมผัส ช่วยลดการแพร่เชื้อโรคและประหยัดน้ำ
    ข้อดี: สะดวกและปลอดภัย เหมาะกับสถานที่สาธารณะหรือบ้านที่เน้นสุขอนามัย

2. ก๊อกอ่างล้างหน้าประหยัดน้ำ (Water-saving Faucet) มีคุณสมบัติในการจำกัดปริมาณน้ำที่ไหลออกมา เพื่อลดการใช้และช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำ. นอกจากนี้ ก๊อกประหยัดน้ำยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น การออกแบบที่ทนทานต่อการกัดกร่อน การเคลือบผิวที่ป้องกันรอยขีดข่วน และซีลยางที่ช่วยป้องกันการรั่วซึม
    ลักษณะ: ออกแบบให้ใช้น้ำในปริมาณน้อยลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการใช้งาน
    ข้อดี: ช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

3. ก๊อกอ่างล้างหน้าดีไซน์โมเดิร์นและเรียบง่าย จะเน้นความสะอาดของเส้นสายและสีสันที่หลากหลาย เช่น สีขาว สีดำ สีเงิน หรือสีทอง นอกจากนี้ คุณสมบัติที่ควรมีก็คือ ทนทานต่อการกัดกร่อน ใช้งานง่าย และมีระบบป้องกันการรั่วซึม
    ลักษณะ: ดีไซน์ทันสมัย เน้นความเรียบง่ายดูสะอาดตา เหมาะกับห้องน้ำสไตล์โมเดิร์น
    ข้อดี: เพิ่มความหรูหราและดูแลรักษาง่าย ทำจากทองเหลืองหรือสเตนเลส 304 ซึ่งทนทานต่อการกัดกร่อนและมีอายุการใช้งานยาวนาน

4. ก๊อกอ่างล้างหน้ารุ่นปรับอุณหภูมิน้ำอัตโนมัติ (Automatic Temperature Mixer) คุณสมบัติหลักคือการควบคุมอุณหภูมิน้ำให้คงที่และปลอดภัยผ่านระบบเทอร์โมสตัทวาล์ว ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ให้เหมาะสม โดยการเปิดหรือปิดวาล์วเพื่อให้น้ำหล่อเย็นมาระบายความร้อนที่หม้อน้ำ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ดีไซน์ที่ทันสมัย ระบบป้องกันการเปิดน้ำร้อนเกินไป และตัวเรือนที่ทนทาน
    ลักษณะ: มีฟังก์ชันปรับอุณหภูมิน้ำอัตโนมัติ ช่วยให้ใช้งานสะดวกและง่ายขึ้น
    ข้อดี: การควบคุมอุณหภูมิน้ำอย่างแม่นยำช่วยลดการใช้พลังงานในการทำให้น้ำร้อนเกินความจำเป็น

เคล็ดลับเลือกใช้นวัตกรรมก๊อกอ่างล้างหน้าให้คุ้มค่า

    พิจารณาฟังก์ชันการใช้งาน
        เมื่อพิจารณาฟังก์ชันการใช้งานก๊อกอ่างล้างหน้า ควรคำนึงถึงความต้องการในการปรับอุณหภูมิน้ำ ความต้องการในแบบก๊อกเดี่ยวหรือก๊อกผสม และฟังก์ชันพิเศษ เช่น ก๊อกน้ำอัตโนมัติหรือก๊อกน้ำที่ประหยัดน้ำ นอกจากนี้ ควรเลือกขนาดและความสูงของก๊อกที่เหมาะสมกับอ่างล้างหน้า และวัสดุที่ทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน

 เลือกดีไซน์ให้เข้ากับสไตล์ห้องน้ำ
        การเลือกดีไซน์ก๊อกอ่างล้างหน้าให้เข้ากับสไตล์ห้องน้ำสวยๆ เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยเสริมความสวยงาม และสร้างความกลมกลืนในห้องน้ำ ควรพิจารณาจากสไตล์ห้องน้ำที่ต้องการ เช่น สไตล์โมเดิร์น, คลาสสิก, หรือวินเทจ เพื่อเลือกก๊อกอ่างล้างหน้าที่มีดีไซน์ที่เข้ากับสไตล์นั้นๆ

    วัสดุและคุณภาพ
        ก๊อกอ่างล้างหน้าควรเลือกวัสดุคุณภาพสูง เช่น ทองเหลืองเคลือบโครเมียมหรือสแตนเลส 304 ก๊อกทองเหลืองทนต่อการกัดกร่อนได้ดี ส่วนสแตนเลส 304 ทนทานต่อการกัดกร่อนและทนต่อความร้อน ส่วนก๊อกน้ำที่เคลือบโครเมียมจะทนทานต่อสารเคมีและรอยขีดข่วน

12
   ลดสัดส่วน - ปัญหาโรคอ้วน น้ำหนักเกินค่ามาตรฐาน หรือ รูปร่างไม่ได้สัดส่วน ถือเป็นปัญหายอดฮิตในสังคมปัจจุบัน  เนื่องจากปัจจัยทั้งด้านชนิดของอาหาร ความสะดวกสบายในการสั่งมาส่ง รวมถึงลักษณะการทำงาน การเดินทางที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไม่ว่างออกกำลังกาย และเงื่อนไขข้อจำกัดอื่นๆอีกมากมาย

   แต่รู้หรือไม่ว่า การมีน้ำหนักเกินค่ามาตรฐาน จะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพตามมามากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ และโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ

   การประเมินว่า น้ำหนักของตัวเราเทียบส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ สามารถหาได้จาก ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) ซึ่งสามารถใช้คัดกรองเพื่อระบุผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือภาวะอ้วนและผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานในผู้ใหญ่ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป

   วิธีการคำนวนค่า BMI =   น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)  ÷  ส่วนสูง (เมตร)2
      เช่น สูง 168 cm หนัก 58kg มี BMI = 58 ÷ (1.68 x 1.68) = 20.549

สำหรับการแปลผลนั้น ค่า BMI ในช่วง 18.5 – 22.90 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่สำหรับคนเอเชีย ถ้าค่าBMI ตั้งแต่ 23 ขึ้นไป ถือว่าน้ำหนักเกินแล้ว ทั้งนี้อาจมีข้อยกเว้นในกรณีที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก อาจทำให้ค่า BMI สูงกว่าเกณฑ์ แม้จะมีรูปร่างดี



การลดน้ำหนัก ≠ การลดสัดส่วน

   การลดน้ำหนัก คือ การเน้นไปที่การลดมวลไขมันทั่วทั้งตัว ไม่ได้เน้นไปที่การปรับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเป็นพิเศษ วิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปคือ การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบ cardio ซึ่งจะช่วยในการเผาผลาญพลังงาน เมื่อพลังงานที่ใช้ไปมากกว่าพลังงานจากอาหารที่ได้รับ ก็จะทำให้ร่างกายดึงเอาพลังงานสำรองที่เก็บอยู่ในรูปไขมันออกมาใช้ ทำให้น้ำหนักลดลง

   ในด้านของการลดสัดส่วนนั้น  จะมุ่งเน้นผลลัพธ์ไปที่รูปร่างและสัดส่วนเฉพาะที่ เช่น รอบเอว ต้นขา ต้นแขน หรือสะโพก โดยการลดสัดส่วนนั้นจะมีเป้าหมายเป็นการลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย เพื่อให้เห็นสัดส่วนที่ดูกระชับสมส่วนมากขึ้น ขั้นตอนในการลดสัดส่วนนั้นมักจะซับซ้อนกว่าการลดน้ำหนัก เพราะจะต้องมีการออกกำลังกายแบบ weight training เฉพาะกล้ามเนื้อที่ต้องการให้ตรงจุด เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและลดไขมันเฉพาะที่

   สำหรับการลดสัดส่วนนั้น จึงนิยมใช้ทางลัดทางการแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหานี้เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ การใช้ยาฉีดสลายไขมันเฉพาะจุด ซึ่งอาจทำให้ไขมันลดลง แต่มีปัญหาผิวย่อน ไม่กระชับ หรือการใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อกระชับสัดส่วน แต่มักประสบปัญหาสามารถลดสัดส่วนได้ในช่วงแรก แต่ไม่สามารถคงผลลัพธ์นั้นไว้ได้ในระยะยาว

แล้วแพทย์แนะนำอย่างไร
   คลินิกสำหรับการลดสัดส่วนนั้น คุณหมอต้องได้ทำการวางโปรแกรมพิเศษเป็น signature servise เพื่อตอบโจทย์ทั้งในแง่การลดสัดส่วน กระชับผิว รวมไปถึงการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการลดสัดส่วน และไม่เกิดการโยโย่ตามมา

   จึงมีการดีไซน์โปรแกรม Body Sculpt ซึ่งเป็นการใช้เครื่อง Exilis Ultra 360 ในการสลายไขมัน ควบคู่ไปกับการใช้เครื่อง Emsculpt เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เห็นผลลัพธ์ในการลดสัดส่วนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

Exilis Ultra 360 คืออะไร?
   เป็นเทคโนโลยียกกระชับ ที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ในการยกกระชับผิวในชั้นบน ร่วมกับ คลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งช่วยสลายไขมันใต้ชั้นผิวหนัง จึงสามารถสลายไขมันไปพร้อมกับกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน  ช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้มีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดพร้อมกับการทำให้ผิวแน่นกระชับยิ่งขึ้น สามารถใช้ได้กับหลายพื้นที่ เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง รอบเอว สะโพก ปีกหลัง เป็นต้น 

    เครื่อง Exilis Ultra 360 ได้รับการรับรองจาก USFDA ว่ามีประสิทธิภาพในการลดไขมันเฉพาะจุด ช่วยกระชับผิว และลดเซลลูไลต์ได้ ตามที่มีงานวิจัยรับรอง
แล้ว Emsculpt คืออะไร?
   เครื่อง Emsculpt ใช้เทคโนโลยี HIFEM(High-Intensity Focused Electromagnetic) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง เป็นตัวช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ส่งพลังงานเข้าไปเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการหดตัว เสมือนการออกกำลังกาย โดยจะกระตุ้นด้วยความถี่ที่สูงเกินกว่าสมองจะสั่งการได้ หรือที่เรียกว่าSupramaximal muscle contraction ซึ่งการใช้เครื่อง Emsculpt กระตุ้นกล้ามเนื้อนี้ สามารถทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อเลียนแบบการออกกำลังกายที่กล้ามเนื้อมัดนั้นได้ถึง 20,000 ครั้ง ภายใน 30 นาที ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เช่น หากเราใช้เครื่องกระตุ้นที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง ก็เทียบเท่ากับเรา sit- up ไป 20,000 ครั้งในครึ่ง ชม เลยทีเดียว

   ซึ่งการใช้เครื่อง Emsculptกระตุ้นกล้ามเนื้อนี้ ผ่านการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัยจาก USFDA ตามงานวิจัยพบว่า จะทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสร้างมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นประมาณ 20 % เลยทีเดียว และยังพบว่า เมื่อมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น การเผาผลาญก็เพิ่มขึ้น จึงทำให้มวลไขมันในบริเวณดังกล่าว ลดลงไปประมาณ 20 % ด้วยเช่นกัน

โปรแกรม Body Sculpt จึงเป็นโปรแกรมพิเศษที่คุณหมอต้องแนะนำ ให้หนึ่งในตัวช่วยในการลดสัดส่วนเฉพาะจุด ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน และกระชับผิวไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับวิถีชีวิตที่แสนยุ่งวุ่นวายในปัจจุบัน เพราะสามารถย่นระยะเวลาในการอกกำลังกายไปได้มาก อีกทั้งยังมีประโยชน์ ในคนที่มีข้อจำกัดในการออกกำลังกาย หรือมีปัญหาต้องการแก้ไขสัดส่วนเฉพาะจุด

13
ในยุคนี้ การวางแผนการเงินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน การเลือกประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องความคุ้มครองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประกันที่สามารถช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต เช่น ประกันควบการลงทุน และประกันเพื่อการออมเงิน ซึ่งแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเพื่อเลือกแผนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณ

ประกันควบการลงทุน (Unit-Linked Insurance) คืออะไร
    ความหมาย: เป็นประกันชีวิตที่ผสมผสานการคุ้มครองและการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ โดยผู้เอาประกันสามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่สนใจได้
    จุดเด่น: โอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน พร้อมความคุ้มครองชีวิตในกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ
    ข้อเสีย: ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดทุน อาจมีผลตอบแทนไม่แน่นอน

ประกันเพื่อการออมเงิน (Endowment Insurance) คืออะไร
    ความหมาย: เป็นประกันชีวิตที่ออกแบบมาเพื่อสะสมเงินออมระยะยาว โดยจะจ่ายเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญาหรือตอนเสียชีวิต
    จุดเด่น: เน้นความมั่นคงในการออมเงิน มีผลตอบแทนแน่นอนตามอัตราที่กำหนด
    ข้อเสีย: ผลตอบแทนต่ำกว่าการลงทุนในตลาดทุน แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า



ข้อดีและข้อเสีย
    ประกันควบการลงทุน
        ข้อดี: โอกาสรับผลตอบแทนสูง จากการลงทุนในตลาดทุน ลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมายกำหนด
        ข้อเสีย: ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

    ประกันเพื่อการออมเงิน
        ข้อดี: ผลตอบแทนแน่นอน ปลอดภัย เน้นความมั่นคง ลดหย่อนภาษีได้
        ข้อเสีย: ผลตอบแทนต่ำกว่าแบบลงทุน ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง

เลือกประกันแบบไหนที่เหมาะกับคุณ
    ถ้าคุณมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงและรับความเสี่ยงได้ ควรพิจารณาประกันควบการลงทุน
    ถ้าคุณต้องการความปลอดภัยและผลตอบแทนแน่นอนในระยะยาว การเลือกประกันสะสมทรัพย์ เพื่อการออมเงินจะเป็นตัวเลือกที่ดี

การเลือกประกันควบการลงทุนหรือประกันเพื่อการออมเงินขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่คุณยอมรับ หากต้องการผลตอบแทนสูงและรับความเสี่ยงได้ ประกันควบการลงทุนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณเน้นความมั่นคงและแน่นอนในผลตอบแทน ประกันเพื่อการออมเงินคือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด
[/size]

14
ถ้าพูดถึงการวางแผนทางเงินแบบเบสิกแล้ว โดยทั่วไปหลายคนจะมีวิธีการออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต โดยการฝากเงินในรูปแบบการประกันชีวิต ซึ่งเป็นการวางแผนทางการเงินแบบความเสี่ยงต่ำ เพื่อรักษาเงินต้นไม่ให้หายไป แต่ก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตามมาว่าเราจะได้รับผลตอบแทนที่น้อย ยิ่งปัจจุบันเป็นยุคที่มีอัตราดอกเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องมองหาแผนทางการเงินใหม่เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ประกันออมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับพิจารณาในการวางแผน

เปลี่ยนเงินฝากมาเป็นประกันออมทรัพย์ หรือ ประกันสะสมทรัพย์ ดีกว่าอย่างไร
ก่อนอื่น เราจำเป็นต้องทำความรู้จักกับ ประกันออมทรัพย์ หรือ ประกันสะสมทรัพย์ กันก่อน ซึ่งประกันออมทรัพย์เป็นประกันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีหลักการคือเน้นการสะสมเงิน (ออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต) พร้อมกับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นมา โดยเราจำเป็นต้องส่งเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่กรมธรรม์ระบุไว้ เมื่อครบกำหนดประกันออมทรัพย์ก็จะจ่ายเงินคืนให้เรา ซึ่งการจ่ายเงินคืนนี้จะเป็นไปตามที่เราตกลง โดยทั่วไปแล้วจะมีการจ่ายคืนเป็นก้อน หรือจ่ายเงินคืนระหว่างทางตลอดสัญญา และในกรณีที่เราเสียชีวิตระหว่างที่ส่งกรมธรรม์ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินก้อนที่เรียกว่า "จำนวนเงินเอาประกัน" ตามที่ระบุไว้ในกรรมธรรม์
ผลตอบแทนมากกว่า
ผลตอบแทนของประกันออมทรัพย์นั้นเราจำเป็นต้องดูจากผลประโยชน์เกี่ยวกับเงินปันผล เงินคืน และเงินครบกำหนดสัญญา ซึ่งถ้ามีการจ่ายคืนแบบ "คงที่" ตรงนี้เราสามารถคำนวณจำนวนเงินได้ทันที ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ดังนั้นประกันออมทรัพย์จึงเหมาะสำหรับใครที่มีเป้าหมายเพื่อออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต และทำประกันชีวิตไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตรงนี้ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าและตรงใจ



ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
เงินที่ได้รับจากประกันออมทรัพย์นั้นจะไม่มีการเสียภาษีใดๆ นั่นหมายถึงเราจะได้รับเงินเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดสัญญาของประกันออมทรัพย์ ทั้งนี้ยังสามารถใช้สิทธิเพื่อลดหย่อนภาษีได้เมื่อประกันออมทรัพย์ที่มีอายุกรรมธรรม์และคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้สูงสุดปีละ 100,000 บาท

ได้รับความคุ้มครองเพิ่ม
การวางแผนทางการเงินในรูปแบบประกันออมทรัพย์ นอกจากจะเป็นการสะสมทรัพย์แล้ว ยังมีการคุ้มครองชีวิตเพิ่มเข้ามาด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือไม่คาดฝันขึ้น ยังมีความคุ้มครองจากประกันออมทรัพย์ที่จะช่วยคุ้มครองดูแลเราและครอบครัว นอกจากนี้ยังสามารถซื้อประกันอื่นๆ เพิ่มเติมได้เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ โดยที่จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล รวมถึงเงินชดเชยรายได้ระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
การลงทุนในรูปแบบประกันออมทรัพย์ ถือเป็นการลงทุนระยะยาวและสม่ำเสมอ เป็นการสร้างวินัยในการออมในรูปแบบการประกันชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อครบสัญญาตามกรมธรรม์ ผู้ที่ถือประกันจะได้รับผลตอบแทนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามกำหนด นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านการลงทุนหรือวางแผนอนาคตได้อย่างมั่นคง นั่นก็คือ สามารถกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจากมูลค่าเวนคืนเงินสดตามกรมธรรม์ได้ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับใครที่ต้องการทำการลงทุน

การฝากเงินธรรมดาทั่วไปให้ผลตอบแทนที่น้อยมากในปัจจุบัน และยังต้องมีการเสียภาษี ซึ่งประกันเหมาจ่าย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกทางเลือกที่ดี เพื่อเพิ่มเติมผลตอบแทนในระยะยาว และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้ แน่นอนว่าข้อดีนี้เหมาะกับใครที่มีรายได้เข้าเกณฑ์เสียภาษี ที่สำคัญยังเหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหาการคุ้มครองชีวิต สุขภาพ รวมถึงอุบัติเหตุ ไว้ให้กับตนเองและครอบครัวอีกด้วย

15
ห้องน้ำสวยๆเป็นพื้นที่สำคัญในบ้านที่ไม่เพียงแต่ใช้เพื่อความสะอาด แต่ยังเป็นสถานที่ที่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายและความสุขในชีวิตประจำวัน การออกแบบห้องน้ำให้สวยงามและใช้งานได้อย่างลงตัวจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ
แนวทางการแต่งห้องน้ำ รวมถึงอุปกรณ์ห้องน้ำที่ช่วยเสริมความสวยงามและความสะดวกสบาย

ไอเดียการตกแต่งห้องน้ำให้สวยงาม
    เลือกโทนสีที่เหมาะสม
        สีขาว คลาสสิก เพิ่มความรู้สึกสะอาดและกว้าง
        โทนสีเทา น้ำตาลอ่อน ให้ความรู้สึกอบอุ่นและโมเดิร์น
        สีพาสเทล เช่น ฟ้าอ่อน ชมพูอ่อน ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

    เลือกเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ที่เข้ากัน
        เลือกเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า โต๊ะอาบน้ำ และชั้นวางของให้เข้าชุดกัน เพื่อความเป็นระเบียบและสวยงาม

    ใช้แสงไฟที่เหมาะสม
        เลือกไฟส่องสว่างแบบนุ่มนวล เสริมบรรยากาศผ่อนคลาย เพิ่มไฟ LED ที่ให้ความสว่างทั่วถึงและประหยัดพลังงาน

    ตกแต่งด้วยของตกแต่งเล็กๆ
        พรมเช็ดเท้า ตะกร้าหรือกล่องเก็บของ ตุ๊กตา หรือภาพศิลปะ เพื่อเพิ่มความน่ารักและความเป็นส่วนตัว



อุปกรณ์ห้องน้ำที่ควรมีเพื่อความสวยงามและใช้งานดี
    อ่างล้างหน้าสวยงามและใช้งานได้ดี
    ฝักบัวและอุปกรณ์ฝักบัวคุณภาพสูง
    กระจกเงาขนาดพอเหมาะ พร้อมกรอบดีไซน์สวยงาม
    ชั้นวางของและกล่องเก็บของ เพื่อความเป็นระเบียบ
    ที่แขวนผ้าเช็ดตัวและผ้าขนหนูอย่างเป็นระเบียบ
    อุปกรณ์อาบน้ำ เช่น สบู่ ฟองน้ำ แชมพู ครีมนวดผม

เคล็ดลับแต่งห้องน้ำให้ดูสวยงามและใช้งานได้ดี
    เลือกวัสดุที่ทนทานต่อความชื้น เช่น กระเบื้องเซรามิก กระเบื้องแก้ว หินอ่อนเทียม
    คำนึงถึงการระบายอากาศที่ดี เช่น ติดตั้งพัดลมดูดอากาศ เพื่อป้องกันกลิ่นและความชื้นสะสม
    จัดวางอุปกรณ์ให้เข้าถึงง่ายและดูเป็นระเบียบ
    เพิ่มต้นไม้เล็กๆ เพื่อความสดชื่นและสร้างบรรยากาศธรรมชาติ

การตกแต่งห้องน้ำให้สวยงามไม่ใช่เรื่องยาก เพียงใส่ใจเลือกอุปกรณ์ห้องน้ำ และไอเดียการตกแต่งให้เข้ากับสไตล์บ้านการมีห้องน้ำที่สวยงามและใช้งานได้อย่างลงตัวจะช่วยเพิ่มความสุขในชีวิตประจำวันและสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน
[/size]

16
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจที่เป็นโรคร้ายแรงเกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์มีดังนี้

สายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A: เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยและมีความรุนแรงที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมได้ง่าย ทำให้เกิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ ๆ อยู่เสมอ
สามารถพบได้ในสัตว์หลายชนิด เช่น นก สุกร และมนุษย์ ตัวอย่างสายพันธุ์ย่อยที่สำคัญ ได้แก่ H1N1 (ไข้หวัดใหญ่ 2009) และ H3N2

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B: พบได้เฉพาะในมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมน้อยกว่าสายพันธุ์ A โดยทั่วไปมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C: พบได้น้อยกว่าสายพันธุ์ A และ B โดยทั่วไปมีอาการไม่รุนแรง คล้ายไข้หวัดธรรมดาไม่ค่อยก่อให้เกิดการระบาด



อาการของไข้หวัดใหญ่จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปจะมีอาการดังนี้:
ไข้สูง, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตามตัว, เจ็บคอ, ไอ, คัดจมูก, อ่อนเพลีย

ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสและสุขภาพของผู้ป่วย โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่:
เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน หญิงตั้งครรภ์

วิธีการรักษา
การรักษาตามอาการ:พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ใช้ยาลดไข้และยาแก้ปวด ยาแก้ไอและยาแก้คัดจมูก

การรักษาด้วยยาต้านไวรัส:
ยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และซานามิเวียร์ (Zanamivir) สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคและระยะเวลาการป่วยได้ ยาเหล่านี้ควรใช้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ
การป้องกัน:
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด การล้างมือบ่อย ๆ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยการปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม หากมีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

ค่ารักษาไข้หวัดใหญ่ในโรงพยาบาลเอกชนนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
ความรุนแรงของอาการ: หากมีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ค่ารักษาจะสูงขึ้น
ระยะเวลาในการรักษา: หากต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ค่ารักษาจะสูงขึ้น
โรงพยาบาล: โรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งมีค่ารักษาที่แตกต่างกัน
การตรวจวินิจฉัย: การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การเอกซเรย์ หรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะเพิ่มค่าใช้จ่าย
ยาและเวชภัณฑ์: ยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษา จะมีผลต่อค่าใช้จ่าย
โดยทั่วไปแล้ว ค่ารักษาไข้หวัดใหญ่ในโรงพยาบาลเอกชนอาจมีค่าใช้จ่ายประมาณดังนี้:

ค่าตรวจผู้ป่วยนอก (OPD): ประมาณ 1,000 - 10,000 บาทต่อครั้ง
ค่ารักษาผู้ป่วยใน (IPD): ประมาณ 46,000 - 72,000 บาท ขึ้นไปต่อการนอนโรงพยาบาล 1 ครั้ง
ข้อควรทราบ
ค่ารักษาที่กล่าวมาเป็นเพียงค่าประมาณ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
หากซื้อประกันออนไลน์ ควรตรวจสอบความคุ้มครองและเงื่อนไขกับบริษัทประกัน

คำแนะนำ
หากมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

17


    1. ความสูงที่เหมาะสม
    ควรเลือกใช้สุขภัณฑ์ที่มีความสูง 40-45 ซม. เพราะเหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป เด็ก ผู้สูงอายุ ไปจนถึงผู้ที่ใช้วีลแชร์ เนื่องจากขณะใช้งานผู้ใช้งานจะนั่งลงบนโถสุขภัณฑ์ และเหยียบพื้นได้เต็มเท้าพอดี
    2. รูปทรงโถสุขภัณฑ์
    สำหรับรูปทรงโถสุขภัณฑ์ที่นั่งสบาย ควรเลือกใช้ทรงวงรี หรือทรงอีลองเกตที่เป็นทรงมาตรฐาน รองรับสรีระร่างกายได้อย่างเหมาะสม
    3. ระบบชำระล้าง
    ควรเลือกระบบชำระล้างที่ทำความสะอาดได้หมดจด ไม่เหลือคราบสิ่งสกปรกตกค้าง ซึ่งจะช่วยเรื่องการประหยัดน้ำได้โดยตรง เพราะในสุขภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ต้องกดชำระหลาย ๆ ครั้ง เป็นการสิ้นเปลืองน้ำโดยไม่จำเป็น ซึ่งเรื่องระบบชำระล้าง และความประหยัดน้ำ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาคู่กัน
    4. เลือกสุขภัณฑ์ที่ดูแลง่าย
    เพราะสิ่งสกปรก เชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่มองไม่เห็นนั้นมีอยู่ทุกที่ โดยเฉพาะบนโถชักโครก ดังนั้นควรเลือกชักโครกที่ทำความสะอาดง่าย สะอาดได้อย่างยาวนาน ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยครั้ง เพื่อปกป้องทุกคนในครอบครัวจากเชื้อโรค และลดการสัมผัสสารเคมีจากน้ำยาล้างห้องน้ำได้อีกด้วย
    5. เลือกแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก
    เพราะแบรนด์ที่มีชื่อเสียง จะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลการใช้งานได้มากขึ้น รวมถึงยังได้รับบริการที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาด้านการเลือกซื้อ ไปจนถึงบริการติดตั้ง และบริการหลังการขายที่ครอบคลุม จึงช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้เครื่องสขภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ใช้งานได้อย่างยาวนาน



ประเภทโถสุขภัณฑ์ห้องน้ำของ
    1. โถสุขภัณฑ์ชิ้นเดียว
    มีจุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์และทำความสะอาดง่าย เนื่องจากโถส้วมถูกเชื่อมกับถังพักน้ำแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้ติดตั้งและทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
    2. โถสุขภัณฑ์แบบสองชิ้น
    โถชักโครกประเภทนี้ จะมีรอยต่อระหว่างตัวโถส้วมและถังพักน้ำ ซึ่งหากถังพักน้ำมีความเสียหาย มีรอยร้าว ก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่เฉพาะส่วนได้โดยง่าย
    3. โถสุขภัณฑ์แขวนผนัง
    การติดตั้งโถแบบนี้จะช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาดเป็นพิเศษ เพราะโถชักโครกไม่อยู่ติดกับพื้นแต่จะแขวนอยู่กับผนังแทน ดังนั้นผนังบ้านต้องรับน้ำหนักได้ดี และมีระยะท่อตามที่กำหนดไว้อย่างได้มาตรฐาน จึงจะสามารถติดตั้งได้
    4. โถสุขภัณฑ์ตั้งพื้น
    โถลักษณะนี้จะมีหม้อน้ำซ่อนผนังหรือใช้ฟลัชวาล์วซ่อนผนัง สามารถรับน้ำหนักได้มากเพราะมีฐานที่มั่นคง อีกทั้งการที่ไม่เห็นถังพักน้ำ ยังช่วยทำให้ห้องน้ำของคุณดูโดดเด่น มีสไตล์มากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของโถสุขภัณฑ์ห้องน้ำ
สิ่งสำคัญที่สุดของโถสุขภัณฑ์ คือความสะอาด หากไม่ทำความสะอาดเป็นประจำ อาจก่อให้เกิดคราบสกปรก จนกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคและแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้งานได้ ด้วยเหตุนี้ จึงได้พัฒนาสาร CEFIONTECT ซึ่งเป็นสารชนิดพิเศษที่ทำให้ผิวอุปกรณ์ชักโครกเรียบลื่น ทำความสะอาดง่าย ช่วยลดความถี่ในการทำความสะอาด และลดการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งถือเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

นอกจากความสะอาดแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการประหยัดน้ำจึงได้พัฒนาระบบชำระล้างที่เรียกว่า TORNADO FLUSH โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการชำระล้างด้วยกระแสน้ำที่แรง และหมุนวนครบ 360 องศา ทำให้โถสุขภัณฑ์สะอาดทั่วทุกทิศทางด้วยปริมาณน้ำที่น้อยลง โดยสุขภัณฑ์ใช้น้ำน้อยที่สุดเพียง 3.8 ลิตรเท่านั้น ถือเป็นตัวช่วยประหยัดน้ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

[/size]

18
ถ้าพูดถึงการวางแผนทางเงินแบบเบสิกแล้ว โดยทั่วไปหลายคนจะมีวิธีการออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต โดยการฝากเงินในรูปแบบการประกันชีวิต ซึ่งเป็นการวางแผนทางการเงินแบบความเสี่ยงต่ำ เพื่อรักษาเงินต้นไม่ให้หายไป แต่ก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตามมาว่าเราจะได้รับผลตอบแทนที่น้อย ยิ่งปัจจุบันเป็นยุคที่มีอัตราดอกเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องมองหาแผนทางการเงินใหม่เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ประกันออมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับพิจารณาในการวางแผน

เปลี่ยนเงินฝากมาเป็นประกันออมทรัพย์ หรือ ประกันสะสมทรัพย์ ดีกว่าอย่างไร
ก่อนอื่น เราจำเป็นต้องทำความรู้จักกับ ประกันออมทรัพย์ หรือ ประกันสะสมทรัพย์ กันก่อน ซึ่งประกันออมทรัพย์เป็นประกันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีหลักการคือเน้นการสะสมเงิน (ออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต) พร้อมกับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นมา โดยเราจำเป็นต้องส่งเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่กรมธรรม์ระบุไว้ เมื่อครบกำหนดประกันออมทรัพย์ก็จะจ่ายเงินคืนให้เรา ซึ่งการจ่ายเงินคืนนี้จะเป็นไปตามที่เราตกลง โดยทั่วไปแล้วจะมีการจ่ายคืนเป็นก้อน หรือจ่ายเงินคืนระหว่างทางตลอดสัญญา และในกรณีที่เราเสียชีวิตระหว่างที่ส่งกรมธรรม์ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินก้อนที่เรียกว่า "จำนวนเงินเอาประกัน" ตามที่ระบุไว้ในกรรมธรรม์
ผลตอบแทนมากกว่า
ผลตอบแทนของประกันออมทรัพย์นั้นเราจำเป็นต้องดูจากผลประโยชน์เกี่ยวกับเงินปันผล เงินคืน และเงินครบกำหนดสัญญา ซึ่งถ้ามีการจ่ายคืนแบบ "คงที่" ตรงนี้เราสามารถคำนวณจำนวนเงินได้ทันที ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ดังนั้นประกันออมทรัพย์จึงเหมาะสำหรับใครที่มีเป้าหมายเพื่อออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิต และทำประกันชีวิตไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตรงนี้ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าและตรงใจ



ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
เงินที่ได้รับจากประกันออมทรัพย์นั้นจะไม่มีการเสียภาษีใดๆ นั่นหมายถึงเราจะได้รับเงินเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดสัญญาของประกันออมทรัพย์ ทั้งนี้ยังสามารถใช้สิทธิเพื่อลดหย่อนภาษีได้เมื่อประกันออมทรัพย์ที่มีอายุกรรมธรรม์และคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้สูงสุดปีละ 100,000 บาท

ได้รับความคุ้มครองเพิ่ม
การวางแผนทางการเงินในรูปแบบประกันออมทรัพย์ นอกจากจะเป็นการสะสมทรัพย์แล้ว ยังมีการคุ้มครองชีวิตเพิ่มเข้ามาด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือไม่คาดฝันขึ้น ยังมีความคุ้มครองจากประกันออมทรัพย์ที่จะช่วยคุ้มครองดูแลเราและครอบครัว นอกจากนี้ยังสามารถซื้อประกันอื่นๆ เพิ่มเติมได้เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ โดยที่จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล รวมถึงเงินชดเชยรายได้ระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
การลงทุนในรูปแบบประกันออมทรัพย์ ถือเป็นการลงทุนระยะยาวและสม่ำเสมอ เป็นการสร้างวินัยในการออมในรูปแบบการประกันชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อครบสัญญาตามกรมธรรม์ ผู้ที่ถือประกันจะได้รับผลตอบแทนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามกำหนด นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านการลงทุนหรือวางแผนอนาคตได้อย่างมั่นคง นั่นก็คือ สามารถกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจากมูลค่าเวนคืนเงินสดตามกรมธรรม์ได้ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับใครที่ต้องการทำการลงทุน

การฝากเงินธรรมดาทั่วไปให้ผลตอบแทนที่น้อยมากในปัจจุบัน และยังต้องมีการเสียภาษี ซึ่งประกันเหมาจ่าย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกทางเลือกที่ดี เพื่อเพิ่มเติมผลตอบแทนในระยะยาว และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้ แน่นอนว่าข้อดีนี้เหมาะกับใครที่มีรายได้เข้าเกณฑ์เสียภาษี ที่สำคัญยังเหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหาการคุ้มครองชีวิต สุขภาพ รวมถึงอุบัติเหตุ ไว้ให้กับตนเองและครอบครัวอีกด้วย

19
ปัญหาฝักบัวน้ำไม่แรงสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแต่ละสาเหตุมีวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันไป ก๊อกฝักบัว แบบไหนดี เพื่อให้น้ำไหลได้แรงดั่งใจอีกครั้ง ฝักบัวน้ำไม่แรง เป็นหนึ่งในปัญหาที่คอยกวนใจใครหลาย ๆ คนอยู่เป็นประจำ เวลาอาบน้ำ ทำให้คุณไม่สามารถใช้งานฝักบัวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหาสาเหตุและวิธีแก้ไขเพื่อให้น้ำไหลแรงได้ดั่งใจ



5 สาเหตุของฝักบัวน้ำไม่แรงและวิธีการแก้ไข
1. สิ่งสกปรกอุดตันฝักบัว
หากคุณใช้งานฝักบัวมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วเกิดปัญหาน้ำไม่แรงขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากการอุดตันของคราบสกปรกหรือตะกอนต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนมากับน้ำ ซึ่งมักจะฝังตัวอยู่ในบริเวณหัวฝักบัว สายยาง และท่อทางเดินน้ำ ทำให้น้ำฝักบัวไหลไม่แรงเท่าที่ควร

วิธีแก้ไข
ถ้าปัญหาฝักบัวน้ำไม่แรงเกิดจากสาเหตุข้างต้นนี้ล่ะก็ วิธีการแก้ไขในเบื้องต้น คือ ให้ถอดฝักบัวมาทำความสะอาด หากมีสิ่งอุดตันไม่มาก ให้ล้างด้วยน้ำสะอาด แต่หากมีสิ่งอุดตันติดแน่นมาก ให้ใช้น้ำยาแช่เอาไว้ หรืออาจจะแช่ด้วยน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเปล่า แล้วจึงใช้แปรงขัดออก ก็จะช่วยขจัดสิ่งที่อุดตันให้หายไปได้
 
2. แรงดันน้ำไม่มากพอ
สาเหตุหลัก ๆ อีกอย่างที่ทำให้ก๊อกฝักบัวน้ำไม่แรง คือ ปัญหาแรงดันน้ำที่เบาเกินไป รวมถึงขนาดปั๊มน้ำที่ขนาดเล็กและไม่เพียงพอต่อการใช้งานในบ้าน ส่งผลให้น้ำที่ไหลออกมาเบา หลาย ๆ บ้านเกิดปัญหานี้ในช่วงเวลาที่มีการเปิดน้ำพร้อมกันทีเดียวหลายจุด

วิธีแก้ไข
วิธีแก้ปัญหานี้ต้องใช้ผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เข้ามาตรวจเช็ครายละเอียดของปั๊มน้ำ ซึ่งเราต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมพอดีกับบ้าน ทั้งจำนวนชั้น จำนวนสมาชิก และจุดที่สามารถเปิดใช้น้ำด้วย เพื่อให้มีแรงดันน้ำที่เพียงพอกับการใช้งาน และทำให้คุณได้ใช้ฝักบัวที่น้ำไหลแรงดั่งใจต้องการ
 
3. เครื่องทำน้ำอุ่นชำรุด
อีกหนึ่งสาเหตุที่หลายคนคาดไม่ถึง คือ การเกิดปัญหากับเครื่องทำน้ำอุ่นที่เกิดการชำรุด แล้วส่งผลให้น้ำฝักบัวไม่แรง โดยส่วนใหญ่ที่พบเจอนั้น เป็นการรั่วซึมของหม้อทำน้ำอุ่น ซึ่งทำให้น้ำที่จะไหลไปยังฝักบัวรั่วซึมออกมาและเบาลงนั่นเอง บางครั้งอาจเกิดจากเครื่องทำน้ำอุ่นที่ไม่ได้ชำรุด แต่เกิดคราบตะกรันสะสมที่ฟิลเตอร์ตัวกรองสิ่งสรกปกอุดตัน เป็นเหตุให้น้ำไหลเบาได้เช่นกัน

วิธีแก้ไข
ส่วนวิธีการแก้ไข ทำได้โดยการเช็คฟิลเตอร์ตัวกรองและทำความสะอาดเบื้องต้นก่อน ถ้าทำความสะอาดแล้ว น้ําของฝักบัวยังไหลเบาอยู่ จึงค่อยทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเครื่องทำอุ่นใหม่ ก็จะหมดปัญหาไปในทันที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะไม่กลับมาอีก หากคุณไม่หมั่นตรวจเช็คเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างเป็นประจำ อาจทำให้ฝักบัวน้ำไม่แรงอีกได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้หากยังใช้งานเครื่องทำน้ำอุ่นที่ชำรุดต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายอื่น ๆ ตามมาได้อีกด้วย

 
4. ระบบกรองน้ำมากเกินไป
การมีระบบกรองน้ำหลายชั้นมีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ ช่วยให้คุณได้ใช้น้ำที่ได้สะอาด ปลอดภัย และกรองสิ่งปรกออกไปให้มากที่สุด แต่ข้อเสียที่อาจจะตามมา คือ ทำให้เกิดปัญหาน้ำฝักบัวไหลเบา เนื่องจากน้ำต้องไหลผ่านการกรองหลายชั้นมากเกินไป ซึ่งคุณคงจะไม่ชอบปัญหานี้แน่ ๆ

วิธีแก้ไข
และปัญหานี้สามารถแก้ได้จากเลือกใช้ฝักบัวที่มีระบบกรองน้ำเพียง 1-2 ชั้น หรือลดชั้นกรองให้น้อยลงไปจากฝักบัวเดิมที่ใช้อยู่ เพื่อให้น้ำได้ไหลผ่านระบบกรองเร็วขึ้น เป็นการช่วยปรับให้น้ำฝักบัวไหลแรงมากขึ้นด้วย
 


5. ฝักบัวไม่มีคุณภาพ
หลายครั้งปัญหาเกิดขึ้นจากคุณภาพของฝักบัวอาบน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน  ทั้งจากวัสดุใช้ที่ไม่มีคุณภาพในการผลิต รวมถึงไม่ได้ออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการน้ำไหลแรงนั่นเอง


20
ริ้วรอย คือ สภาพของผิวซึ่งมีรอยพับเป็นเส้น เป็นร่องบนผิวหนัง โดยธรรมชาติแล้ว คนเราจะเริ่มมีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้นตามวัย เพราะเกิดจากโครงสร้างของผิวเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มขึ้น ช่วงอายุแตกต่างกันไปตามลักษณะพันธุกรรม การดูแลผิว และพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ผู้ที่พักผ่อนน้อย ดูแลสุขภาพไม่ดี มีเรื่องเครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือตากแดดโดยไม่ป้องกันผิว ก็อาจจะเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายกว่าคนในวัยเดียวกันที่ใส่ใจดูแลผิวและสุขภาพ

   เมื่อเริ่มเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ดูแลรักษา ริ้วรอยต่าง ๆ ก็มักจะพัฒนาต่อเนื่องจากตื้น จนกลายเป็นร่องลึกและเห็นเป็นริ้วรอยถาวร แก้ไขได้ลำบากในที่สุด



ริ้วรอยแบ่งเป็นชนิดไหนได้บ้าง และวิธีแก้ไข
ริ้วรอยที่เป็นร่องตื้น ๆ (fine lines, rhytids)
   เป็นริ้วรอยที่มักเกิดในบริเวณที่ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ ขาดcollagen และ elastin มักพบในพื้นที่ที่ผิวบอบบาง ขาดการบำรุง มีความชุ่มชื้นไม่เพียงพอ เช่น บริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก
   การแก้ไข มักใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อ rejuvenation ทำทรีตเม้นต์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น รวมไปถึงการใช้ตัวยา เช่น hydrodelux, exosome เพื่อกระตุ้นการสร้าง collagen

ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (dynamic lines)
   เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงสีหน้า เกิดจากการขยับของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เช่น การขมวดคิ้ว เลิกหน้าผาก ซึ่งเมื่อมีการขยับซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ ก็จะทำให้ผิวหนังชั้นบนที่ถูกพับตามรอยกล้ามเนื้อถูกเร่งให้เสื่อมสภาพได้ง่าย และสามารถพัฒนาไปเป็นริ้วรอยถาวรได้
   การแก้ไข ทำได้โดยการใช้ Botulinum Toxin (BOTOX) เพื่อช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อในบริเวณที่มีปัญหา ทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลงในตำแหน่งที่เหมาะสม

ริ้วรอยถาวร (static lines)
   เป็นริ้วรอยที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวหนัง เป็นส่วนที่มี collagen และ elastin ในผิวลดน้อยลง ขาดความยืดหยุ่น ทำให้มองเห็นเป็นเส้นร่องลึก เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องแสดงสีหน้า
   แก้ไขโดยการใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อช่วยในการฟื้นฟูคุณภาพผิว เน้นไปที่ผิวบน เช่น การใช้ Needle RF ร่วมกับตัวยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้าง collagenในการรักษา

ริ้วรอยร่องพับ (folds)
   เป็นริ้วรอยที่เกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวบนใบหน้า ทำให้ผิวหย่อนลงมาจนเกิดร่องพับ เช่น ร่องแก้ม ร่องข้างมุมปาก
   แก้ไขโดยใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อยกกระชับหน้า ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยมีความแน่น และยกโครงสร้างหน้าให้ดีขึ้น อาจใช้ควบคู่กับการปรับรูปหน้าด้วย filler เพื่อแก้ไขปัญหาร่องพับที่ลึกมาก

การป้องกัน
1.   ใช้ครีมบำรุงผิวที่เน้นให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง เพราะผิวที่ขาดน้ำจะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่า
2.   ทาครีมกันแดด เมื่อต้องเผชิญกับรังสี UV เนื่องจาก ในแสงแดดและแสงจ้าจากไฟ spotlight มีรังสี UVA ซึ่งจะทำลายทำให้เซลล์เราเสื่อมสภาพได้ง่าย
3.   งดการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวขาดน้ำ และมีสารอนุมูลอิสระที่เร่งให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ได้ง่าย
4.   พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เข้านอนเป็นเวลา เพื่อให้ hormone ที่ช่วยยับยั่งความชรา สร้างและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
5.   ทานอาหาร หรือsupplement ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์


21
หากเราวางแผนชีวิตไว้ดีเช่นไร ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตกับสภาพเศรษฐกิจในครอบครัว ปัญหาหนึ่งคือการขาดสภาพคล่องจำนวนเงินและภาระค่าใช้ต่างๆ หากวันหนึ่งประสบปัญหาทางการเงินจนทำให้จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพไม่ไหว ทางเลือกต่อไปนี้จะช่วยให้เรายังคงได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันชีวิต (ขึ้นอยู่กับประเภทและเงื่อนไขของกรมธรรม์) แม้เงื่อนไขอาจต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้างสำหรับบางกรณี

1. ชำระเบี้ยประกันในระยะเวลาผ่อนผัน
   ผู้ซื้อประกันชีวิตหลายคนไม่ทราบข้อกำหนดเรื่องระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ย 31 วัน นับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระเบี้ย ดังนั้น  หากถึงกำหนดชำระแล้วยังมีเงินไม่เพียงพอ  แต่จะสามารถหาเงินมาได้ครบจำนวนทันเวลาดังกล่าว การเลื่อนชำระตามกำหนดมาเป็นช่วงระยะเวลาผ่อนผันก็นับเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ดี ซึ่งในระหว่างระยะเวลาผ่อนผันกรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับ และถ้าระหว่างนั้นเราเสียชีวิต บริษัทจะหักเบี้ยประกันที่ยังไม่ได้จ่ายออกจากทุนประกันชีวิต สิ่งสำคัญคือ ต้องระวังไม่ปล่อยให้พ้นระยะเวลาผ่อนผันถ้าเลยเวลาแล้ว แต่กรมธรรม์ยังมีมูลค่าเวนคืน (คือ เมื่อชำระเบี้ยประกันตั้งแต่ 2 หรือ 3 ปี ขึ้นไป)  กรมธรรม์จะมี “มูลค่าเวนคืน” เป็นจำนวนเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในตารางมูลค่ากรมธรรม์ ซึ่งเราสามารถขอยกเลิกกรมธรรม์เพื่อรับเงินค่าเวนคืนจากบริษัทได้ แต่จะทำให้ความคุ้มครองทั้งหมดสิ้นสุดลง) บริษัทจะนำมูลค่าเวนคืนมาใช้ในการแก้ไขปัญหาการไม่ชำระเบี้ยประกันของเรา เช่น เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จหรือเป็นกรมธรรม์แบบขยายเวลาตามข้อ 5 หรือชำระเบี้ยอัตโนมัติตามข้อ 6 ที่จะ กล่าวถึงต่อไป แต่ถ้ากรมธรรม์ไม่มีมูลค่าเวนคืน กรมธรรม์จะขาดอายุและสิ้นผลบังคับ



2. ขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกัน
   หากประเมินสถานการณ์แล้วว่า จะหาเงินก้อนมาชำระค่าเบี้ยรายปีไม่ทันระยะเวลาผ่อนผันตามข้อ 1 
หรือเก็บเงินก้อนไม่สำเร็จ แต่ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนจากชำระเงินคราวเดียวเป็นก้อนใหญ่รายปี (ราย 12 เดือน) มาเป็นแบ่งชำระ
ทุกเดือน ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน ก็อาจเป็นทางออกให้เรา แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเมื่อรวมทุกงวดในรอบปีเดียวกันจะสูงกว่า
การชำระ เบี้ยเป็นรายปี ยิ่งแบ่งงวดการชำระมากเท่าไหร่ ค่าเบี้ยประกันโดยรวมจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงควรไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงวดการชำระ

3. ลดจำนวนเงินเอาประกันภัยลง
          หากมองไปในอนาคตแล้วเห็นว่าเบี้ยประกันที่จ่ายอยู่จะเป็นภาระที่มากเกินไปในระยะยาวหรือเห็นว่าจะชำระไม่ไหว การลดจำนวนเงินเอาประกันลงก็จะช่วยให้เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายลดลง โดยจำนวนเงินเอาประกันที่ขอลดต้องไม่ต่ำกว่าทุนประกันขั้นต่ำที่กำหนด และต้องไม่มีหนี้กับบริษัทประกันชีวิตนั้นขณะขอลดทุนประกัน

4. เปลี่ยนแบบกรมธรรม์
          เราสามารถขอเปลี่ยนแบบประกันภัยเป็นแบบอื่นตามที่บริษัทกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขไว้ หากมีระบุไว้ในกรมธรรม์หรือได้รับความเห็นชอบจากบริษัท และหากมีส่วนต่างของเบี้ยประกันหรือเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ บริษัทจะคืนเงินให้หลังหักด้วยหนี้สินที่มี หรือเก็บเงินเพิ่มแล้วแต่กรณี แต่ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาก่อนว่าประกันแบบใหม่นั้นตรงตามความต้องการของตัวเองหรือไม่

5. เปลี่ยนเป็น “กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ” หรือเป็น “กรมธรรม์แบบขยายเวลา”
          หากคิดแล้วว่าจากนี้ไปจะต้องตัดรายจ่ายค่าเบี้ยประกันออกอย่างถาวรหรือไม่สามารถชำระได้อีก แต่ได้ชำระเบี้ยประกันจนมีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์และกรมธรรม์ยังมีผลบังคับ เรามีสิทธิขอเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จหรือเป็นกรมธรรม์แบบขยายเวลา สำหรับทั้ง 2 วิธีนี้ ผู้เอาประกันจะไม่ต้องชำระเบี้ยประกันอีกต่อไป แต่ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมที่แนบท้ายกรมธรรม์ก็จะสิ้นสุดลง ซึ่งบริษัทจะนำค่าเวนคืนกรมธรรม์มาคำนวณเป็นเบี้ยประกันภัยชำระครั้งเดียวเพื่อซื้อกรมธรรม์ใหม่ ได้ 2 แบบที่เหมาะกับเรา คือ (1) ระยะเวลาเท่าเดิมแต่เงินเอาประกันลด เรียกว่ากรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ หรือ (2) เงินเอาประกันเท่าเดิม ระยะเวลาลด เรียกว่ากรมธรรม์ขยายเวลา (คือขยายเวลาต่อไปจากวันที่ใช้สิทธิ ตามจำนวนปีและวันที่ระบุ)

6. นำมูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติ
          เมื่อถึงกำหนดวันสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันชำระเบี้ยประกัน แล้วยังไม่ได้จ่ายเบี้ยประกัน และไม่ได้ใช้สิทธิตามข้อ 5 บริษัทจะนำมูลค่าเวนคืนในกรมธรรม์มาชำระเบี้ยประกันโดยอัตโนมัติในลักษณะของการกู้ยืม ซึ่งคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดอกเบี้ยที่ระบุในกรมธรรม์และบวกเพิ่มดอกเบี้ยอีกร้อยละ 2 ต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าถ้ามูลค่าเวนคืนเพียงพอจ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจะกู้ยืมไปเรื่อย ๆ ทุกปี จนกว่ามูลค่าจะเหลือไม่พอ แต่ถ้ามูลค่าเวนคืนไม่พอจ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจะแปลงกรมธรรม์เดิมเป็น “กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ” หรือ “กรมธรรม์แบบขยายเวลา” (ข้อ 5) โดยอัตโนมัติ ส่วนการชำระคืนเงินกู้นั้น สามารถนำเงินมาจ่ายคืนได้ภายหลังพร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
[/size]

22
ห้องน้ำสมัยใหม่ไม่ใช่แค่สถานที่ใช้สำหรับทำธุระส่วนตัวแล้วออกไปเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้เราสามารถเริ่มต้นและจบวันด้วยความรู้สึกดี ซึ่งหมายความว่าห้องน้ำไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการใช้งานเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความสะดวกสบายและความสวยงาม การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมจึงสามารถช่วยเสริมทั้งสองด้านนี้ได้ และในบรรดาอุปกรณ์เหล่านี้ อ่างล้างหน้าห้องน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มีอ่างล้างหน้าห้องน้ำหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีเฉพาะด้านในเรื่องของสไตล์และการใช้งาน

    1.อ่างล้างหน้าติดผนัง (Wall-Hung Basins)
    เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำสมัยใหม่ขนาดกะทัดรัด ที่ต้องการใช้พื้นที่บนพื้นให้มากที่สุด
อ่างล้างหน้าติดผนังจะถูกติดตั้งโดยตรงกับผนัง ทำให้พื้นด้านล่างว่างเปล่า การออกแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้ลุคที่ดูเรียบหรูและร่วมสมัย แต่ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างด้านล่างให้สามารถใช้งานได้ดีขึ้น อ่างล้างหน้าประเภทนี้เหมาะกับห้องน้ำขนาดเล็กหรือห้องแต่งตัวที่มีพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ ยังเป็นอุปกรณ์ที่สามารถปรับใช้ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ได้หลากหลาย หรือใช้เป็นชิ้นเดียวก็ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และความชอบของแต่ละคน

    2.อ่างล้างหน้าบนเคาน์เตอร์ (Countertop Basins)
    เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำที่มีพื้นที่เคาน์เตอร์กว้าง มักพบในห้องน้ำขนาดใหญ่หรือห้องน้ำหลัก
วางอยู่บนตู้เฟอร์นิเจอร์หรือเคาน์เตอร์ อ่างล้างหน้าประเภทนี้มีชื่อเสียงในด้านความสวยงามและความทันสมัย เป็นจุดศูนย์กลางที่น่ามองในห้องน้ำ มีหลายรูปทรงและวัสดุให้เลือก ทำให้สามารถปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์และรสนิยมได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นในการติดตั้ง เข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ห้องน้ำหลากหลายแบบ



    3.อ่างล้างหน้าแบบฝังใต้เคาน์เตอร์ (Undercounter Basins)
    เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำที่ต้องการความเรียบเนียนและสะอาดเป็นพิเศษ
อ่างล้างหน้าประเภทนี้มักติดตั้งใต้เคาน์เตอร์เพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่เรียบเสมอกันและไร้รอยต่อ อ่างจะมองไม่เห็นจากด้านบน เหลือไว้เพียงขอบและภายในเท่านั้น เป็นตัวเลือกยอดนิยมในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบความมินิมอลและความเรียบร้อย อ่างล้างหน้าประเภทนี้ง่ายต่อการทำความสะอาดและดูแลรักษา ช่วยเสริมความเรียบร้อยและความสวยงามให้กับดีไซน์ห้องน้ำ

    4.อ่างล้างหน้าฝังครึ่งเคาน์เตอร์ (Semi-Recessed Basins)
    เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัดแต่ยังต้องการความสวยงามของอ่างบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า
อ่างล้างหน้าฝังครึ่งเคาน์เตอร์เป็นการผสมผสานระหว่างอ่างบนเคาน์เตอร์และอ่างแบบติดตั้งเข้าไปในเคาน์เตอร์ บางส่วนของอ่างจะตั้งอยู่บนพื้นผิวเคาน์เตอร์ โดยส่วนหน้าของอ่างจะยื่นออกมานอกขอบ การออกแบบนี้ให้ประโยชน์ของอ่างบนเคาน์เตอร์ในขณะที่ช่วยประหยัดพื้นที่บนเคาน์เตอร์ เป็นทางเลือกที่ดีในห้องน้ำที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ แต่ยังคงต้องการความสวยงามและความสะดวกในการใช้งาน

    5.อ่างล้างหน้าแบบขาตั้ง (Pedestal Sinks)
    เหมาะสำหรับ: การออกแบบห้องน้ำแบบคลาสสิกและดั้งเดิมที่พบได้ในบ้านเก่า
อ่างล้างหน้าประเภทนี้ประกอบด้วยอ่างที่ติดตั้งบนแท่นเสา ซึ่งช่วยสร้างลุคคลาสสิกและไม่มีวันตกยุคได้อย่างลงตัว กระบอกเสาช่วยซ่อนท่อน้ำและสายไฟ ทำให้ห้องน้ำดูเรียบร้อยและสวยงาม มีดีไซน์ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความวินเทจหรือความคลาสสิกให้กับห้องน้ำ

การเลือกใช้อ่างล้างหน้าที่เหมาะสมสามารถเพิ่มความสวยงามและความสะดวกสบายให้กับห้องน้ำได้อย่างมาก ลองพิจารณาเลือกตามพื้นที่และสไตล์ที่ต้องการ เพื่อสร้างห้องน้ำในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด


23
ผิวหน้ามีริ้วรอย หย่อนคล้อยเป็นสัญญาณแห่งวัยที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะชะลอและฟื้นฟู สาเหตุของผิวหน้าหย่อนคล้อยคืออะไร และมีวิธีบำรุงรักษาอย่างไรให้ผิวกลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง
เมื่อกาลเวลาผ่านไป สัญญาณแห่งวัยก็เริ่มปรากฏขึ้น หนึ่งในปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายๆ คนคือ "ผิวหน้าหย่อนคล้อย" ไม่ว่าจะเป็นแก้มที่ดูไม่กระชับ คางสองชั้นที่เริ่มเห็นชัด หรือริ้วรอยที่ปรากฏตามจุดต่างๆ ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์โดยรวม

ผิวหน้าหย่อนคล้อยเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ดังนี้:
    อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ
    แสงแดด: รังสี UV จากแสงแดดทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
    การแสดงสีหน้าซ้ำๆ: การยิ้ม ขมวดคิ้ว หรือหรี่ตาซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดริ้วรอยร่องลึกและผิวหย่อนคล้อยได้
    การสูบบุหรี่: สารนิโคตินในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย
    การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว: การสูญเสียน้ำหนักอย่างรวดเร็วอาจทำให้ผิวไม่มีเวลาปรับตัว ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย
    พันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มที่จะมีผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าคนอื่นเนื่องจากพันธุกรรม



วิธีบำรุงรักษาและชะลอผิวหน้าหย่อนคล้อย
แม้ว่าเราจะไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการชราตามธรรมชาติได้ แต่เราสามารถชะลอและฟื้นฟูยกกระชับหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ด้วยวิธีการบำรุงที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ:

    การดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม:
        ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลดริ้วรอย และปรับสภาพผิว
        ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
        ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid): ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ดูอิ่มฟู และลดริ้วรอยตื้นๆ
        ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ (Peptides): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
        ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

ทางเลือกอื่นๆ สำหรับการยกกระชับผิว (ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ):
หากปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยมีความรุนแรง และการบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ อาจพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่คลินิก เช่น:
    การทำเลเซอร์ยกกระชับ: เลเซอร์บางชนิดสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้
    การทำอัลตราซาวด์ยกกระชับ (Ultrasound Lifting): เป็นการใช้พลังงานอัลตราซาวด์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวที่ลึกขึ้น
    การทำคลื่นวิทยุ (Radiofrequency - RF): เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว
    การฉีดฟิลเลอร์ (Fillers): ใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก และช่วยยกกระชับผิวในบางบริเวณ
    การร้อยไหม (Thread Lifting): เป็นการใช้ไหมทางการแพทย์สอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อยกกระชับผิว
    การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery): เป็นวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงและระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนานกว่า

24
ประกันออนไลน์ การวางแผนชีวิตและการวางแผนด้านสุขภาพของคนในสังคมปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพการกิน การออกกำลังกาย ไปจนถึงการสร้างหลักประกันให้สุขภาพ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว
ถ้าใครได้เข้ามาอ่านบทความนี้ มาเปลี่ยน 5 ความเชื่อเดิมๆ เป็นการสร้างแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพกัน

มาเริ่มกันที่ความเชื่อแรก “แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ต้องทำประกันสุขภาพ”
เป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมาก เพราะความเป็นจริงคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประวัติการเจ็บป่วย จะได้รับการพิจารณาจากบริษัทประกันได้ง่ายกว่า แต่ในทางกลับกันหากเรามีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงและเคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยโรคต่างๆ บริษัทประกันอาจนำข้อมูลส่วนนี้มาพิจารณาเพิ่มเติม ทำให้การทำประกันนั้นยากขึ้น หรือ อาจจะไม่รับไปกันเลยก็ได้



ความเชื่อที่สอง “ประกันสวัสดิการที่ได้จากบริษัท เพียงพอแล้ว”
อย่าพึ่งชะล่าใจไปค่ะ เนื่องจากแต่ละบริษัทมีมาตรการความคุ้มครองสุขภาพของพนักงานที่แตกต่างกันออกไป บางที่ให้การคุ้มครองรอบด้าน แต่บางองค์กรนั้น อาจมีความคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุม หรือเพียงพอกับค่ารักษาพยาบาล และต้องไม่ลืมว่าเราไม่ได้ทำงานที่นั้นตลอดไป อีกทั้งการเจ็บป่วยสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรละเลยการพิจารณาการทำประกันแบบส่วนบุคคลติดตัวไว้

ความเชื่อที่สาม “อายุยังน้อย ประกันไม่จำเป็น”
ในขณะที่เราอายุยังไม่มากนัก มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจึงคิดว่าการทำประกันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ความเป็นจริงการทำประกันคือการบริหารความเสี่ยงในทุกๆ ด้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะยิ่งอายุมากความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการทำประกันในขณะที่อายุยังน้อยมีข้อได้เปรียบสูง ทั้งค่าเบี้ยที่ถูกกว่าคนทำประกันในอายุที่มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้มีเงินสำรองในการรักษาพยาบาลยามฉุกเฉินในอนาคตได้

ความเชื่อที่สี่ “ไม่จำเป็นต้องทำประกันบำนาญ” 
รู้หรือไม่ว่าการมีทางเลือกของแผนประกันบำนาญเป็นเรื่องที่เราควรเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้มีค่าใช้จ่ายไว้ดูแลตัวเองในยามที่เกษียณอายุ อีกทั้งหากเราเริ่มทำประกันบำนาญตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากจะชำระเบี้ยในอัตราที่น้อยกว่า ยังอาจเป็นหนึ่งทางเลือกดีๆ ให้เกษียณอายุก่อนกำหนดได้อีกด้วย นอกจากจะได้เก็บเงินเพื่ออนาคตของคุณแล้ว ประกันบำนาญยังลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาทอีกด้วย

ความเชื่อที่ห้า “โรคร้ายแรงเป็นเรื่องไกลตัว”
อันนี้คิดผิดคิดใหม่ได้เลย เพราะทุกวันนี้โลกเราเต็มไปด้วยสารเคมีและมลภาวะอันก่อให้เกิดโรคร้ายไม่ว่าจะเป็น  โรคมะเร็ง โรคปอด โรคหัวใจ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นโรคร้ายล้วนเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเป็นอย่างมาก เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายที่เคยแข็งแรง ดังนั้นการมีประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่คุณไม่อาจคาดเดาได้ ประกันสุขภาพที่ไหนดี

จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสต่างๆที่ผ่านมา ก็ทำให้คุณมองเห็นในส่วนหนึ่งแล้วว่า โรคภัยต่างๆไม่ได้อยู่ไกลตัวคุณเลย รวมถึงการเจ็บป่วย สถิติของผู้ป่วยโรคร้ายที่สูงขึ้นในแต่ละวัน ประกันชีวิตและประกันสุขภาพจึงมีความจำเป็นอย่างมากในปัจจุบันและอนาคตของคุณ ประกันชีวิตและประกันสุขภาพมีหลากหลายรูปแบบที่ออกมาให้คุณได้เลือกทำตรงตามความต้องการของคุณได้อีกด้วย


25
ช่วงนี้อากาศร้อนมาก เรามาช่วยกันรักโลกให้มากขึ้นกันเถอะ ใครมีไอเทมรักษ์โลกเด็ด ๆ ปัง ๆ อยากป้ายยาคอมเมนต์เสนอไอเทมมาเลย



ในยุคที่เราเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อน การช่วยเหลือโลกและดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญและเราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ ผ่านการใช้ไอเทมรักษ์โลก ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืนด้วย.

1. ถุงผ้า
การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกเป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดขยะพลาสติกในสภาพแวดล้อมได้มาก ถุงผ้ามักมีความทนทานและสามารถใช้งานได้ซ้ำหลายครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการลดการผลิตถุงพลาสติกซึ่งเป็นต้นเหตุของมลพิษที่จะทำให้โลกร้อนขึ้น

2. ขวดน้ำรีฟิล
การเปลี่ยนจากการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดมาใช้ขวดน้ำแบบรีฟิล ช่วยลดการใช้พลาสติกขวดเดียวทิ้ง นอกจากนี้ยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว คุณสามารถเติมน้ำจากที่บ้านหรือสถานที่ที่มีน้ำสะอาดได้ตลอดเวลา

3. ไฟ LED
การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้หรือลอดฟลูออเรสเซนต์มาเป็นไฟ LED ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 80% นั่นหมายถึงการลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่ผลิตพลังงานที่มักมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

4. แผ่นทำความเย็นจากธรรมชาติ
สำหรับผู้ที่ต้องการคงความเย็นภายในบ้านในช่วงฤดูร้อน การใช้แผ่นทำความเย็นจากธรรมชาติ เช่น แผ่นหวายหรือแผ่นเซรามิค สามารถลดการใช้เครื่องปรับอากาศได้ ช่วยประหยัดไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

5. สินค้าจากวัสดุรีไซเคิล
การเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลไม่เพียงแต่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืน เช่น กระดาษรีไซเคิล หรือตู้เย็นที่ทำจากวัสดุยั่งยืน


26
หากพูดถึงการซื้อประกัน คงฟังดูเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน ไหนจะการเลือกแผนประกัน ไหนจะต้องพิจารณาค่าเบี้ย แล้วไหนจะเงื่อนไขมากมายที่ต้องทำความเข้าใจ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะยังไม่ตกลงปลงใจที่จะซื้อประกันชีวิต เสียชีวิตทุกกรณี ประกันสุขภาพ หรือ ประกันอุบัติเหตุ ให้กับตัวเองสักที
แต่หากพูดถึงความสำคัญแล้ว การมีประกันก็เหมือนการมีแผนสำรองที่ดีในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ เช่น อุบัติเหตุร้ายแรง โรคภัยไข้เจ็บที่อาจจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว และถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ตราบใดที่คุณไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้

เทคนิคการเลือกซื้อประกัน ด้วยการพิจารณาความเหมาะสมตามช่วงวัย
วันนี้เราจึงขอแนะนำ เทคนิคการเลือกซื้อประกันสำหรับทุกวัย พิจารณาความเหมาะสมตามช่วงวัย พร้อมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตัวเอง และคนรอบตัวที่คุณรักอีกด้วย

ประกันสำหรับ วัยเด็ก (0 - 20 ปี)
    ในช่วงวัยนี้ประกันที่ตอบโจทย์มากที่สุดคือ ประกันสุขภาพ และ ประกันอุบัติเหตุ เพราะคุณคงถือเป็นวัยรุ่น วัยใส วัยบ้าบิ่น ที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเป็นกังวลเป็นพิเศษ ทั้งปัญหาการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเลือกซื้อประกันสุขภาพควบคู่ไปกับประกันอุบัติเหตุ ก็จะช่วยให้คุณกล้าออกไปเผชิญโลกกว้าง เรียนรู้การใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ และช่วยทำให้คนทางบ้านที่เป็นห่วงคุณอยู่รู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้น
 


ประกันสำหรับ วัยเริ่มทำงาน (21 - 30 ปี)
    แน่นอนว่าช่วงวัยทำงานตอนต้น (First Jobber) สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อให้มีฐานะที่มั่นคงในอนาคต ดังนั้นจึงควรเลือก ประกันออมทรัพย์ และ ประกันอุบัติเหตุ เพราะจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในการวางแผนการใช้จ่าย ช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินก้อนได้ตามเป้าหมาย และ ยังมีประกันอุบัติเหตุที่จะช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย และยังมีค่าชดเชยต่างๆ อีกมากมาย

ประกันสำหรับ วัยสร้างครอบครัวและมีบุตร (31 - 50 ปี)
    เป็นช่วงวัยที่คุณเริ่มมีคนสำคัญในชีวิตให้ต้องดูแล การสร้างครอบครัวและวางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยก็คงต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างดี ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ หรือ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะเป็นประกันที่เบี้ยไม่สูง และคุ้มครองตามระยะเวลาที่สามารถเลือกได้ เป็นอีกหนึ่งแผนสำรองหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับคุณ ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะต้องลำบาก

 ประกันสำหรับ วัยเกษียณ (51 ปีขึ้นไป)
    ผู้สูงอายุในวัยเกษียณ เป็นวัยที่อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเจอกับโรคภัยไข้เจ็บมากที่สุด การมีประกันสุขภาพผู้สูงอายุ ที่ครอบคลุมโรคยอดฮิตรวมถึงโรคร้ายแรง และ วงเงินการคุ้มครองคุ้มค่า ก็จะช่วยให้คุณป้องกันความเสี่ยง และยังสามารถสนุกกับการใช้ชีวิตและอยู่กับคนในครอบครัวได้อย่างอุ่นใจ

ถึงแม้ว่าในแต่ละช่วงวัยจะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาก็คืออุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการมีประกันอุบัติเหตุคู่ใจที่จะช่วยดูแลความยุ่งยากต่างๆ ทั้งคุ้มครองคุ้มค่าและชดเชยเต็มที่ ก็นับเป็นสิ่งที่จำเป็นกับคนทุกวัยด้วยเช่นกัน


27
ในยุคปัจจุบัน การดูแลสุขภาพกำลังเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การซื้อประกันสุขภาพจึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับผู้คนหลายคนในปัจจุบัน ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อประกันสุขภาพ และเหตุผลที่ควรพิจารณาในการทำประกันสุขภาพให้กับตัวเองและครอบครัว

1. ทำไมต้องซื้อประกันสุขภาพ

การซื้อประกันสุขภาพช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดเมื่อเจ็บป่วย โดยประกันสุขภาพจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา ได้แก่:

    การดูแลสุขภาพที่ดี: คุณจะได้รับการเข้าถึงการรักษาที่ทันท่วงทีและมีคุณภาพ
    ลดหย่อนภาษี: ค่าเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
    ความสบายใจ: ทำให้คุณมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล




2. ประเภทของประกันสุขภาพ

การประกันสุขภาพมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทอาจมีข้อกำหนดและความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนี้

    ประกันสุขภาพแบบรายปี: ให้ความคุ้มครองในระยะเวลาหนึ่งปี สามารถต่ออายุได้
    ประกันสุขภาพแบบตลอดชีพ: มีความคุ้มครองระยะยาว โดยไม่จำกัดอายุ
    ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน: คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาเมื่อผู้เอาประกันต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
    ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก: คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เช่น ค่าหมอ ค่ายา

3. การเลือกซื้อประกันสุขภาพ

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะทำประกันสุขภาพ มีข้อควรพิจารณาเพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตรงตามความต้องการ

    ตรวจสอบความคุ้มครอง: ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับความคุ้มครองที่ประกันนั้นๆ ให้ หากมีการดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคเฉพาะหรือบริการเสริม เช่น ฟิตเนสก็อาจทำให้ดีขึ้น
    เปรียบเทียบเบี้ยประกัน: เบี้ยประกันในแต่ละบริษัทอาจแตกต่างกัน ควรเปรียบเทียบราคาและความคุ้มครอง
    ตรวจสอบเงื่อนไข: อ่านเงื่อนไขและข้อยกเว้นของประกัน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองตามที่ต้องการ
    บริการและเครือข่ายของโรงพยาบาล: ตรวจสอบว่าประกันสุขภาพที่เลือกมีเครือข่ายโรงพยาบาลที่สะดวกและเพียงพอสำหรับคุณ

ประกันสุขภาพที่ไหนดีการซื้อประกันสุขภาพเป็นการลงทุนที่สำคัญเพื่อปกป้องสุขภาพของคุณและครอบครัว ไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำงาน หรือเป็นเพียงคนที่ต้องการมีสุขภาพดี ประกันสุขภาพจะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในชีวิตประจำวัน เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการซื้อประกันสุขภาพ และช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

28
ในบ้านของเรา วาล์วฝักบัว และ ก๊อกน้ำ เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในการอาบน้ำ การล้างมือ และการทำความสะอาดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
การทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้มีความสำคัญในการควบคุมการไหลของน้ำ เพื่อให้เราได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่ดีที่สุด

หน้าที่หลักของก๊อกฝักบัว
1. การควบคุมน้ำไหล
วาล์วฝักบัวทำหน้าที่ควบคุมการไหลของน้ำผ่านฝักบัว น้ำร้อนไหลและน้ำเย็นสามารถถูกควบคุมได้ตามต้องการ ซึ่งช่วยให้เราสามารถอาบน้ำอย่างสะดวกสบาย
2. ระบบการผสมอุณหภูมิ
วาล์วฝักบัวที่มีคุณภาพจะมีระบบการผสมอุณหภูมิที่ทำให้ผู้ใช้งานได้รับอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสม โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อยๆ
3. ความปลอดภัย
การใช้วาล์วฝักบัวที่มีระบบป้องกันน้ำร้อนเกินไปจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกน้ำร้อนทำให้เกิดบาดแผล



หน้าที่ของก๊อกน้ำ
1. จ่ายน้ำตามต้องการ
ก๊อกน้ำทำหน้าที่ในการจ่ายน้ำได้อย่างรวดเร็วและสะดวก โดยสามารถเปิด-ปิดได้ง่ายตามต้องการ
2. ประหยัดน้ำ
ก๊อกน้ำที่มีคุณภาพมักมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดน้ำ ไม่ให้มีการใช้น้ำที่สูญเสียไปโดยใช่เหตุ ทำให้คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายในบิลน้ำได้
3. การออกแบบที่ใช้งานง่าย
ก๊อกน้ำมีหลากหลายรูปแบบและการออกแบบที่ใช้งานง่าย ทำให้เข้ากับการใช้งานในแต่ละบ้านและสไตล์การตกแต่ง

หน้าที่ของก๊อกฝักบัว
1. ความสะดวกสบายในการอาบน้ำ
ก๊อกฝักบัวจะช่วยให้การอาบน้ำทำได้อย่างสะดวก โดยน้ำสามารถไหลได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
2. ประสิทธิภาพในการทำความสะอาด
ก๊อกฝักบัวมีการกระจายของน้ำที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ทำให้คุณสามารถล้างสบู่และแชมพูได้อย่างง่ายดาย
3. การติดตั้งที่ยืดหยุ่น
ก๊อกฝักบัวมักถูกออกแบบให้สามารถติดตั้งได้ง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการปรับความสูงตามต้องการ เพื่อให้เหมาะสมกับทุกคนในครอบครัว

วาล์วฝักบัว ก๊อกน้ำ และก๊อกฝักบัวมีหน้าที่สำคัญในการทำให้ชีวิตประจำวันของเราสะดวกสบายและปลอดภัย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน
คำแนะนำในการเลือกซื้อ
    ตรวจสอบคุณภาพ - ควรเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและรีวิวดี
    ดูวัตถุดิบ - วัสดุที่ใช้ต้องมีความทนทานต่อการใช้งาน
    พิจารณาการติดตั้ง - วาล์วฝักบัวและก๊อกน้ำควรติดตั้งง่ายและเหมาะกับสไตล์ของห้องน้ำ
การเข้าใจในหน้าที่และความสำคัญของวาล์วฝักบัว ก๊อกน้ำ และก๊อกฝักบัวจะช่วยให้คุณสามารถเลือกอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างเหมาะสมที่สุด

29
ในยุคที่ทุกคนใส่ใจเรื่องความงามและสุขภาพผิวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีในการดูแลผิวหน้าอย่าง HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) และ Multipolar RF (Radio Frequency) จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับหน้า ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้สวยงามขึ้น โดยในบทความนี้เราจะพูดถึงเทคโนโลยีทั้งสองอย่างนี้เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น



HIFU (High Intensity Focused Ultrasound)
HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการกระตุ้นผิวชั้นลึก โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ซึ่ง HIFU จะทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว ส่งผลให้ผิวดูตึงกระชับและเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและเส้นริ้วที่เกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่ทำการรักษาด้วย HIFU มักจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ และผลลัพธ์จะยาวนานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

Multipolar RF (Radio Frequency)
Multipolar RF เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการกระตุ้นผิว โดยทำงานโดยการสร้างความร้อนในชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินภายในผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าดูเนียนเรียบ กระชับขึ้นและลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำ Multipolar RF จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และใช้เวลาเพียงไม่นาน ข้อดีของเทคโนโลยีนี้คือสามารถทำการรักษาได้ในระยะเวลาสั้น โดยไม่ต้องพักฟื้น

ความแตกต่างระหว่าง HIFU และ Multipolar RF
   1. กระบวนการทำงาน: HIFU ใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างความร้อนที่ชั้นผิวลึก ในขณะที่ Multipolar RF ใช้คลื่นวิทยุในการกระตุ้นผิวในระดับตื้นกว่า
   2. ความลึกในการทำงาน: HIFU สามารถทำงานในชั้นผิวที่ลึกกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการยกกระชับส่วนที่ต้องการความชัดเจน ในขณะที่ Multipolar RF จะเน้นช่วยปรับผิวที่ตื้นกว่า
   3. เวลาในการเห็นผล: HIFU สามารถเห็นผลได้ชัดเจนในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์หลังการทำ ในขณะที่ Multipolar RF ผลลัพธ์อาจใช้เวลานานกว่า

การเลือกใช้เทคโนโลยี HIFU หรือ Multipolar RF สำหรับการยกกระชับหน้าและลดเลือนริ้วรอยนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และสามารถดูแลรักษาความงามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการดูแลผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยสนับสนุนผลลัพธ์จากการรักษาด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การดูแลผิวหน้าและการลดเลือนริ้วรอยเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกขึ้น ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาวิธีทำให้ผิวหน้ากระชับและดูอ่อนเยาว์

30
ฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET สะดวกสบายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
การติดตั้งชักโครกฝารองนั่งอัตโนมัติ คือ ฝารองนั่งระบบอัตโนมัติที่ติดตั้งบนโถสุขภัณฑ์ ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านการใช้งานและการทำความสะอาด โดยมาพร้อมก้านฉีดชำระอัตโนมัติ
ระบบเป่าแห้ง ระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่ควบคุมผ่านรีโมทคอนโทรลหรือแผงควบคุมเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งสกปรกภายในห้องน้ำ

ถึงตรงนี้หลายคนอาจมีความรู้สึกว่าอยากเป็นเจ้าของฝารองนั่งอัตโนมัติดูบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด นอกจากต้องพิจารณาถึงฟังก์ชันและรูปแบบการใช้งานของฝารองนั่งอัตโนมัติให้ตรงใจแล้ว
สิ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องของการติดตั้งด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญที่จะแนะนำในการเช็คพื้นที่ห้องน้ำ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET

4ขั้นตอนการเช็คพื้นที่ก่อนการติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET

1. เช็คกระแสไฟฟ้าและตำแหน่งปลั๊ก

ฝารองนั่งอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงาน จึงควรปรับปรุงพื้นที่และเดินสายไฟไว้ใกล้กับห้องน้ำของคุณก่อน จากตำแหน่งที่ตั้งของสุขภัณฑ์
เมื่อหันหน้าเข้าหาโถสุขภัณฑ์ตำแหน่งของปลั๊กจะต้องอยู่ทางซ้ายมือ โดยห่างจากจุดศูนย์กลางของท่อน้ำทิ้งเป็นระยะ 30 ซม. และสูงจากพื้นอย่างน้อย 30 ซม.

 
2. ต้องมีพื้นที่ว่างทั้งซ้าย และขวาของโถสุขภัณฑ์อย่างน้อย 30 ซม.

เนื่องจากฝารองนั่งอัตโนมัติอาจทำให้โถสุขภัณฑ์มีขนาดชักโครกใหญ่ขึ้นจากปกติเล็กน้อยจึงจำเป็นต้องติดตั้งในห้องน้ำที่มีพื้นที่พอสมควร
กล่าวคือควรจะมีพื้นที่ว่างด้านข้างโถสุขภัณฑ์ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาอย่างน้อย 30 ซม. และไม่ควรมีสิ่งกีดขวางโถสุขภัณฑ์อีกด้วย

 
3. ตรวจสอบรูปทรงและขนาดของสุขภัณฑ์

การติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET กับโถสุขภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบขนาดและรูปทรงของโถสุขภัณฑ์ หากเป็นโถสุขภัณฑ์ทรง Elongated (โถสุขภัณฑ์ทรงยาว)
ต้องมีระยะรูยึดน็อตที่โถสุขภัณฑ์เพื่อติดตั้งฝารองนั่ง 14 ซม. และระยะจากรูยึดน็อตของฝารองนั่งด้านใดด้านหนึ่งถึงหม้อน้ำเป็นระยะอย่างน้อย 5 ซม.

 
4. โถสุขภัณฑ์ต้องไม่อยู่ในจุดเปียกน้ำ
ตำแหน่งที่ตั้งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติ คือ สุขภัณฑ์ห้ามตั้งอยู่ในส่วนที่เปียกน้ำ เช่น น้ำจากฝักบัว นอกจากนี้ไม่ควรใช้น้ำราดไปที่ฝารองนั่งอัตโนมัติโดยตรง
ในการทำความสะอาดชักโครก เนื่องจากฝารองนั่งอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้า ด้วยเหตุนี้การติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติจึงเหมาะสำหรับการออกแบบห้องน้ำที่แบ่งโซนเปียกและโซนแห้งอย่างชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำจะมาโดนสุขภัณฑ์ได้

31
ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดภาษี 
สร้างเงินออม...พร้อมคุ้มครองชีวิต

         ปัจจุบันผู้มีรายได้สามารถนำเบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 300,000 บาทต่อปี ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการวางแผนภาษีและเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดภาษี  สร้างเงินออม พร้อมคุ้มครองชีวิต โดยประเภทของเบี้ยประกันชีวิตที่สามารถนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษีได้ก็มี  2 ประเภท  ได้แก่ เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ  ซึ่งมีข้อกำหนดเบื้องต้น ดังนี้



1. เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป  (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป)
ค่าเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้หักค่าลดหย่อนและได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ทั้งนี้ หากคู่สมรสมีการประกันชีวิต และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อน สำหรับเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท
ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้  หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ประกันลดหย่อนภาษี


2. เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ

ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หักค่าลดหย่อนในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ที่นำมาเสียภาษีเงินได้ในแต่ละปี แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี  ทั้งนี้ ต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึงอายุ 85 ปีหรือกว่านั้น และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

กรณีไม่มีเบี้ยประกันชีวิตตามข้อ 1 สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปหักลดหย่อนแทนเบี้ยประกันชีวิตตามข้อ 1 ก่อนได้ ซี่งจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีรวมสูงสุด 300,000 บาท

นอกจากนี้ยังสามารถลดหย่อนภาษีสำหรับลูกกตัญญู คือ ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ บิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรสต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เกิน 30,000 บาท

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
          บุคคลธรรมดามีหน้าที่ต้องยื่นเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้ในทุกปี ภายในวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี  โดยบุคคลธรรมดาที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะคำนวณจากเงินได้สุทธิประจำปี ซึ่งเกิดจากเงินได้ทั้งปี หักค่าใช้จ่าย และหักค่าลดหย่อน   

วิธีการคำนวณภาษี
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = [(รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) – เงินบริจาค] x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีแต่ถ้าเกินกว่านั้นก็จะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันได

32
ก๊อกอ่างล้างหน้าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในห้องน้ำ ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่หน้าที่การทำงานในการจ่ายน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเพิ่มความงามและสไตล์ให้กับห้องน้ำได้อีกด้วย

ประเภทของก๊อกอ่างล้างหน้า
    ก๊อกแบบโยก (Single Handle Faucet): ใช้งานง่ายและสะดวกสบายเพียงแค่โยกขึ้นหรือลงเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำ
    ก๊อกแบบสองทาง (Double Handle Faucet): มีสองท่อสำหรับจัดการน้ำร้อนและน้ำเย็น สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ
    ก๊อกเซ็นเซอร์ (Sensor Faucet): ใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจจับมือ ทำให้น้ำไหลออกโดยไม่ต้องสัมผัส สะดวกและช่วยลดการใช้น้ำ
    ก๊อกแบบมีปีก (Wall-Mounted Faucet): ติดผนัง สามารถประหยัดพื้นที่และสร้างความทันสมัยให้กับห้องน้ำ



วิธีการเลือกก๊อกอ่างล้างหน้าให้เหมาะสม
1. เลือกดูจากขนาด และดีไซน์
ให้เลือกก๊อกที่มีขนาดเหมาะสมกับอ่างล้างหน้าขนาดเล็กและพื้นที่ในห้องน้ำ โดยดีไซน์ควรเข้ากับสไตล์การตกแต่งของห้อง เช่น หากห้องน้ำมีสไตล์คลาสสิก ควรเลือกก๊อกที่มีรูปทรงที่สวยงามและมีลูกเล่น

2. เลือกวัสดุที่มีคุณภาพ
  1. สแตนเลส (stainless steel)
    ทนทานต่อการกัดกร่อน: สแตนเลสไม่เกิดสนิมและมีความทนทานต่อการกัดกร่อนจากน้ำและสารเคมี
    ดูแลรักษาง่าย: สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและไม่ต้องใช้สารเคมีแรงๆ
    ดีไซน์ที่หรูหรา: ให้ลุคที่ทันสมัยและหรูหรา
2. ทองเหลือง (Brass)
    ความทนทาน: ทองเหลืองเป็นวัสดุที่มีความทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน
    มีความสวยงาม: มีลุคคลาสสิกที่สามารถให้ความรู้สึกหรูหรากับห้องน้ำ
    ความสามารถในการป้องกันเชื้อแบคทีเรีย: ทองเหลืองมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติ
3. พลาสติก (Plastic)
    น้ำหนักเบา: ง่ายต่อการติดตั้งและเคลื่อนย้าย
    ราคาไม่แพง: เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
    ไม่เกิดสนิม: ไม่มีปัญหากับการกัดกร่อนจากน้ำ

3. ฟังก์ชันการใช้งานของก๊อกอ่างล้างหน้า
ก๊อกอ่างล้างหน้าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในห้องน้ำ เพราะไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการควบคุมการไหลของน้ำเท่านั้น แต่ยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจในการใช้งาน
1. ควบคุมอุณหภูมิของน้ำ
ก๊อกอ่างล้างหน้าสามารถปรับอุณหภูมิของน้ำได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยทั่วไปก๊อกแบบโยก (Single Handle) จะเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถปรับอุณหภูมิได้ง่าย แค่โยกไปทางขวาหรือตรงกลางเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ
2. การประหยัดน้ำ
รุ่นใหม่ๆ ของก๊อกอ่างล้างหน้ามักมีฟังก์ชันการประหยัดน้ำ เช่น ระบบลดการไหลของน้ำ (Flow Restrictor) ซึ่งช่วยให้ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับน้ำที่พอเพียงในการใช้งานโดยไม่สิ้นเปลือง
3. เซ็นเซอร์อัตโนมัติ
ก๊อกอ่างล้างหน้าแบบเซ็นเซอร์ (Sensor Faucet) ทำงานโดยการตรวจจับการเคลื่อนไหว ทำให้น้ำไหลออกโดยอัตโนมัติเมื่อมีมือเข้ามาใกล้ และหยุดเมื่อมือออกไป ซึ่งช่วยลดการสัมผัสและทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดน้ำได้อีกด้วย
4. สวิตช์น้ำร้อนน้ำเย็น
ก๊อกที่มีฟังก์ชันสองทาง (Double Handle Faucet) จะมีสวิตช์สำหรับน้ำร้อนและน้ำเย็นแยกกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความละเอียดมากขึ้น เช่น การล้างมือหรือหน้าที่ต้องการอุณหภูมิที่เฉพาะเจาะจง
5. สายยาง (Pull-out Spray)
บางรุ่นมีฟังก์ชันสายยางที่สามารถดึงออกมาได้ (Pull-out Faucet) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำความสะอาดอ่างล้างหน้าได้ง่ายขึ้น หรือใช้สำหรับการล้างสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในอ่างได้สะดวกยิ่งขึ้น
6. ระบบควบคุมการไหลของน้ำ
ก๊อกบางรุ่นมีระบบควบคุมการไหลของน้ำ (Flow Control) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับความแรงของน้ำได้ตามต้องการ ช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์
7. ฟังก์ชันการป้องกันการรั่วซึม
ก๊อกที่มีฟังก์ชันป้องกันการรั่วซึมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำรั่วที่อาจทำให้เกิดปัญหาความเสียหายต่อพื้นและโครงสร้างของบ้าน

การดูแลรักษาก๊อกอ่างล้างหน้า
    ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผ้านุ่มและน้ำสบู่อ่อน ๆ ในการทำความสะอาดก๊อกเพื่อป้องกันการเกิดคราบสะสม
    หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง: การใช้สารเคมีที่รุนแรงอาจทำให้ผิวของก๊อกเกิดการกัดกร่อน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสม
    ตรวจสอบรั่วซึม: ควรตรวจเช็คการรั่วซึมเป็นระยะ ๆ หากพบปัญหาควรซ่อมแซมทันที เพราะการรั่วซึมสามารถทำให้เกิดความเสียหายได้
การเลือกและดูแลรักษาก๊อกอ่างล้างหน้าอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับห้องน้ำ แต่ยังช่วยให้การใช้งานสะดวกสบายและยืนยาวไปด้วย


33
new doublo 2.0 เป็นนวัตกรรมล่าสุดในวงการความงามที่เน้นการยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอย ด้วยการผสานการทำงานของเทคโนโลยี HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) และ Multipolar RF (Radio Frequency) ซึ่งทั้งสองเทคโนโลยีนี้สามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในด้านการฟื้นฟูผิว



    HIFU (High Intensity Focused Ultrasound):
        HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการกระตุ้นผิวในระดับลึก โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างความร้อนในชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ซึ่งมีผลช่วยในการยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอย
บ่อยครั้ง HIFU ใช้ในบริเวณใบหน้า คอ และลำคอ

    Multipolar RF (Radio Frequency):
        Multipolar RF ใช้คลื่นวิทยุในการกระตุ้นระเบียบการไหลเวียนโลหิตในผิวหนังและการสลายไขมันในชั้นใต้ผิวคล้ายกับการให้ความร้อน ซึ่งทำให้เกิดการกระชับผิวและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานของ Multipolar RF ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยทำให้ผิวของผู้ใช้มีความสดใสและเรียบเนียน

การทำงานร่วมกันของ HIFU และ Multipolar RF

1. ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการยกกระชับ:
เมื่อ HIFU ทำการกระตุ้นชั้นผิวลึก ทำให้เกิดความร้อนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ความเข้มข้นจากคลื่น RF ช่วยให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานร่วมกันนี้ยังช่วยให้มีการยกกระชับที่เด่นชัดยิ่งขึ้น

2. การทำงานร่วมกัน เพิ่มความอบอุ่นที่เหมาะสม:
การใช้ Multipolar RF ร่วมกับ HIFU ทำให้การกระจายความร้อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถลดความเจ็บปวดและเพิ่มความสบายขณะทำหัตการได้ ผู้ใช้จะรู้สึกสบายตัวมากขึ้นในระหว่างและหลังการทำหัตถการ

3. ปรับปรุงผลลัพธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว:
การผสมผสานเทคโนโลยีทั้งสองนี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อรูปลักษณ์โพสต์การทำหัตถการ แต่ยังสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว โดยช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีได้นานขึ้น

4. ขจัดริ้วรอยและฟื้นฟูผิว:
การทำงานร่วมกันของทั้งสองเทคโนโลยีช่วยให้สามารถเข้าถึงปัญหาผิวที่หลากหลายได้พร้อมกัน เช่น การลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และทำให้ผิวมีความกระชับเรียบเนียน
ข้อดีของ New Doublo 2.0

    ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้: เทคโนโลยี HIFU และ Multipolar RF ร่วมกันช่วยให้ผู้ใช้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น
    ปลอดภัยและไม่รุกราน: นวัตกรรมนี้ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและใช้กับผิวหนังได้อย่างปลอดภัย
    การฟื้นตัวที่รวดเร็ว: โดยไม่ต้องพักฟื้นจากการทำหัตถการ ผู้ใช้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

New Doublo 2.0 เป็นการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในวงการความงามมาผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยการทำงานร่วมกันระหว่าง HIFU และ Multipolar RF
ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากการยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอยอย่างมีประสิทธิภาพในขณะที่ปลอดภัยและมีการฟื้นตัวที่รวดเร็ว นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวสวยงามและอ่อนเยาว์

34
ปัญหาฝักบัวเสียจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป หากทุกคนรู้วิธีเปลี่ยนหัวฝักบัว ด้วยตัวเอง โดยบทความนี้จะมาอธิบายแบบเข้าใจง่าย อ่านจบแล้วทำตามได้เลย ติดตามที่นี่

เชื่อว่า “ฝักบัวเสีย” น่าจะเป็นปัญหาที่กวนใจหลายคนไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนที่จำเป็นต้องใช้น้ำ แต่ฝักบัวเจ้ากรรมกลับไม่มีน้ำไหลออกมาเสียดื้อ ๆ อย่างไรก็ตาม หากทุกคนทราบถึงวิธีเปลี่ยนหัวฝักบัวด้วยตัวเอง ปัญหานี้จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงขออาสามาแนะนำวิธีเปลี่ยนหัวฝักบัวด้วยตัวเอง อธิบายแบบเข้าใจง่ายสุด ๆ ไล่เลียงทีละขั้นตอน ไม่ว่าใครก็ทำตามได้ ติดตามในบทความนี้ได้เลย



สาเหตุของฝักบัวเสีย
    เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน: หัวฝักบัวอาบน้ำมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-10 ปี ดังนั้น เมื่อใช้งานไปครบระยะเวลาดังกล่าว วัสดุต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของฝักบัว เช่น วาล์วฝักบัว พลาสติก ยาง โลหะ ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลา
    หัวฝักบัวอุดตัน: น้ำประปาที่ไหลผ่านหัวฝักบัวมักมีสิ่งสกปรกต่าง ๆ เช่น หินปูน ตะกรัน ฝุ่นละออง ปะปนมาด้วย โดยสิ่งสกปรกเหล่านี้อาจไปอุดตันตามรูพรุนของหัวฝักบัว ทำให้น้ำไหลออกมาไม่สะดวก ส่งผลให้ฝักบัวเสียได้ในที่สุด
    สายฝักบัวรั่ว: สายฝักบัวเป็นชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างฝักบัวกับท่อน้ำ หากสายฝักบัวชำรุดเสียหาย เช่น รอยแตกร้าว รอยรั่วซึม ก็จะทำให้น้ำรั่วออกจากสายฝักบัวได้

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับการเปลี่ยนฝักบัวด้วยตัวเอง

จากเหตุผลในหัวข้อที่แล้ว การที่ฝักบัวเสียจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากทุกคนทราบวิธีเปลี่ยนหัวฝักบัว ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่คอยกวนใจอีกต่อไป โดยก่อนที่จะไปถึงวิธีเปลี่ยนหัวฝักบัว ก็ต้องรู้ก่อนว่าอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับการเปลี่ยนฝักบัวด้วยตัวเองมีอะไรบ้าง โดยสามารถแบ่งเป็นข้อ ๆ ได้ดังต่อไปนี้

    - หัวฝักบัวใหม่
    - ประแจเลื่อน
    - เทปพันเกลียว
    - ผ้าสะอาด
    - ไขควง
    - ถุงมือยาง
    - แว่นตานิรภัย



ขั้นตอนการเปลี่ยนหัวฝักบัวอาบน้ำ
    ขั้นตอนที่ 1: ปิดวาล์วน้ำที่เชื่อมต่อกับฝักบัว เพื่อให้น้ำไหลออกจากหัวฝักบัวได้หมดก่อนถอดออก
    ขั้นตอนที่ 2: ถอดหัวฝักบัวตัวเก่าออก โดยใช้ผ้าพันรอบหัวฝักบัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกลียวเสียหายจากการหมุน จากนั้นใช้ประแจเลื่อนหมุนหัวฝักบัวทวนเข็มนาฬิกาจนหลุดออก
    ขั้นตอนที่ 3: วิธีเปลี่ยนหัวฝักบัวด้วยตัวเองขั้นตอนต่อมา คือการทำความสะอาดบริเวณท่อน้ำ โดยใช้ผ้าเช็ดให้สะอาด เพื่อขจัดเศษฝุ่นและสิ่งสกปรก
    ขั้นตอนที่ 4: พันเทปพันเกลียวบนเกลียวของหัวฝักบัวใหม่ เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม โดยให้พันเทปตามเข็มนาฬิกาประมาณ 6 รอบ ควรเปลี่ยนแหวนยางกันซึมชิ้นใหม่ เพื่อกันการรั่วซึมเพิ่มขึ้นอีกชั้น
    ขั้นตอนที่ 5: จากนั้นให้นำหัวฝักบัวใหม่ใส่เข้ากับท่อน้ำ แล้วใช้ประแจเลื่อนหมุนหัวฝักบัวตามเข็มนาฬิกาจนแน่น
    ขั้นตอนที่ 6: ปิดท้ายวิธีเปลี่ยนหัวฝักบัวด้วยการเปิดวาล์วน้ำเพื่อตรวจสอบการรั่วซึม หากไม่มีน้ำรั่วซึม แสดงว่าเปลี่ยนหัวฝักบัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว



35
โปรโมทเว็บไซต์ / How To ลดหย่อนภาษีแบบจุใจ
« เมื่อ: เมษายน 02, 2025, 11:55:42 am »
ประกันลดหย่อนภาษีรู้ไหมว่าเราสามารถซื้อประกันเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ใครที่สงสัยว่าต้องซื้อประกันแบบไหนถึงลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท
ถ้าได้เข้ามาอ่านบทความนี้คลายความสงสัยกัน



วิธีลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท แบบที่ 1
หลายคนคงทราบกันดีว่าคุณสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจาก "เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป" ได้ 100,000 บาท ในส่วนนี้สามารถรวมกับ "เบี้ยประกันสุขภาพ" ได้สูงสุดอีก 25,000 บาท และเมื่อรวมกับ "เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ" (ที่ลดหย่อนภาษีได้ 200,000 บาทหลัง) ก็จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท
**ประกันบำนาญสามารถซื้อได้ 15% ของรายได้รวมในแต่ละปี

วิธีลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท แบบที่ 2
ถ้าหากคุณมีประกันชีวิต ลดหย่อนภาษี "เบี้ยประกันชีวิต" หรือ "เบี้ยประกันชีวิต+เบี้ยประกันสุขภาพ" แล้ว แต่ยังไม่เต็มสิทธิ์ 100,000 บาท คุณสามารถนำ "เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ" ที่ลดหย่อนภาษีในส่วนของ 200,000 บาทหลัง มาเติมเต็มในส่วนแรกได้ (ก่อนซื้อประกันบำนาญควรสอบถามตัวแทนหรืออ่านรายละเอียดให้ดีก่อนทำประกัน) **ประกันบำนาญสามารถซื้อได้ 15% ของรายได้รวมในแต่ละปี

วิธีลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท แบบที่ 3
ถ้าหากคุณยังไม่มี "เบี้ยประกันชีวิต" หรือ "เบี้ยประกันสุขภาพ" ใดๆเลย คุณสามารถซื้อ

"ประกันชีวิตแบบบำนาญ" เพื่อนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท เพราะแบบประกันบำนาญบางแบบสามารถลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่ 100,000 บาทแรก จนถึง 200,000 บาทหลัง ทั้งนี้การใช้สิทธิ์จากเบี้ยประกันบำนาญต้องไม่เกิน 15% ของรายได้รวมในแต่ละปี




36
ก๊อกเซ็นเซอร์ รุ่นไหนดี หลักการทำงานแบบอัตโนมัติ ไร้สัมผัส เป็นอุปกรณ์สำหรับล้างสิ่งสกปรกที่ทันสมัย ใช้งานได้สะดวกสบาย และเพิ่มสุขอนามัยที่ดี

ก๊อกเซ็นเซอร์เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการไหลของน้ำ เป็นสิ่งที่ใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกให้หมดไป โดยก๊อกน้ำไม่ได้มีเพียงประเภทที่มีด้ามจับ เกลียวหมุน หรือแบบใช้เท้าเหยียบ เพื่อเปิด-ปิดน้ำเท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังมี ก๊อกน้ำอัตโนมัติ หรือก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ ที่ไร้สัมผัส พัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้ใช้งานผ่านก๊อกน้ำระบบเซ็นเซอร์ เพื่อให้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรคจากก๊อกน้ําได้โดยตรง วันนี้ TOTO มีเกร็ดข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ รุ่นไหนดี หลักการทำงานของมันจะเป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย!
ข้อดีของก๊อกน้ำอัตโนมัติ

ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาให้ก๊อกน้ำอัตโนมัติหรือก๊อกเซ็นเซอร์ทำงานได้โดยอาศัยเซ็นเซอร์โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสก๊อกน้ํา หรือใช้เท้าเหยียบกลไกด้านล่างเพื่อเปิด – ปิดน้ำ  ซึ่งมีข้อดีที่ทำให้ห้องน้ำมีสุขอนามัยที่ดีขึ้น
1. ลดการสัมผัส


 เนื่องจากก๊อกน้ำอัตโนมัติหรือก๊อกน้ำระบบเซ็นเซอร์หลักการทำงาน คือ การใช้ระบบก๊อกเซ็นเซอร์ สำหรับควบคุมการเปิด-ปิดของน้ำแทนการใช้ด้ามจับ ส่งผลให้มือของเราไม่ต้องสัมผัสกับก๊อกน้ําโดยตรง นับเป็นการลดความเสี่ยงในการรับสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่สะสมอยู่บริเวณนั้น ทำให้ได้ห้องน้ำที่มีสุขอนามัยดีพร้อมกับเทคโนโลยีสุดไฮเทค

จากผลทดสอบของสถาบันการศึกษาวิจัย TOTO พบว่า “ก๊อกน้ำ” แบบที่ด้ามจับ มีการตรวจพบปริมาณของแบคทีเรียมากที่สุดถึง 25,000 CFU ต่อ ตารางเซ็นติเมตร ซึ่งมากกว่าก้านกดชำระล้าง, ฝารองนั่งโถสุขภัณฑ์, และกลอนประตูหลายเท่าด้วยกัน กลายเป็นว่าทุกครั้งที่คุณเข้าห้องน้ำสาธารณะ เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว คุณก็ใช้มือที่อาจมีเชื้อโรคอยู่ไปสัมผัสบนก๊อกอ่างล้างหน้าเพื่อเปิดน้ำ จากนั้นคุณก็ล้างมือจนสะอาด แล้วคุณจึงปิดก๊อกน้ำ ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป เชื้อโรคบนก๊อกน้ำจึงสะสมอยู่เรื่อยๆ นั่นหมายความว่าต่อให้คุณจะล้างมือสะอาดมากแค่ไหนแล้วก็ตาม คุณก็ยังต้องสัมผัสเชื้อโรคเหล่านั้นเมื่อใช้งานเสร็จอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ก๊อกน้ำอัตโนมัติที่มีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับ โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัส ก็จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

2. ประหยัดน้ำ


การประหยัดน้ำ คือ หนึ่งในคุณสมบัติที่เป็นข้อดีของก๊อกน้ำอัตโนมัติหรือก๊อกซ็นเซอร์ หลักการทำงานสำคัญคือระบบเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับมือ โดยน้ำจะไหลก็ต่อเมื่อ มือได้เข้าไปในระยะของมัน และหยุดไหลเมื่อมือไม่อยู่ในระยะนั้นแล้ว ส่งผลให้ใช้น้ำน้อยลง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการลืมปิดก๊อกน้ํา ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ประหยัดน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เทคโนโลยีที่มาพร้อมกับก๊อกอ่างล้างหน้าที่ทันสมัย ก็ช่วยให้ใช้น้ำน้อยลงได้อีกด้วย อย่างก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ของ TOTO ใช้น้ำน้อยเพียง 1.3 ลิตร/นาทีเท่านั้น

3. ดูแลรักษาง่าย


ด้วยหลักการทำงานของก๊ก๊อกน้ำอัตโนมัติที่มีเซ็นเซอร์ ไม่ต้องสัมผัส เป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษามาก เมื่อคุณทำความสะอาดก๊อกน้ําแล้วก็จะคงความมันวาวเอาไว้ได้ยาวนาน เนื่องจากตัวก๊อกเซ็นเซอร์แทบไม่ต้องสัมผัสกับอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นมือของผู้ใช้ สบู่ล้างมือ หรือคราบน้ำ ช่วยให้เกิดรอยเลอะหรือคราบสกปรกได้น้อยกว่าก๊อกอ่างล้างหน้าแบบธรรมดามาก


37
ทำประกันทั้งทีถ้าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย ก็เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะได้ทั้งความคุ้มครอง และยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หลายๆ คนคงกำลังจัดระเบียบการใช้จ่ายของตัวเองและเตรียมเอกสารต่างๆ สำหรับเทศกาลลดหย่อนภาษีปลายปีที่ใกล้เข้ามา แต่หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะต้องซื้อประกันประเภทไหนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ มีเงื่อนไขเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่ และจะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเท่าไหร่ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาไว้ให้แล้ว



ประเภทของประกันที่ลดหย่อนภาษีได้
1. ประกันชีวิต
ประกันชีวิตทั่วไป ลดหย่อนภาษีได้
ประกันที่เน้นให้ความคุ้มครองแก่ผู้ทำประกัน ในกรณีที่เสียชีวิตจากเหตุไม่คาดคิดก็จะได้รับเงินชดเชยตามวงเงินคุ้มครอง มีหลายรูปแบบ เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ และ ประกันชีวิตควบการลงทุน
โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทตามจำนวนที่จ่ายจริง หรือหากจะนับรวมเงินฝากแบบมีประกันด้วยก็ต้องไม่เกิน 100,000 บาท และใครที่มีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ซึ่งไม่ได้เพิ่งสมรสภายในปีนี้ ก็สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท เช่นเดียวกัน
เงื่อนไขการนำประกันชีวิตทั่วไปมาลดหย่อนภาษี
-         ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         หากมีการจ่ายเงินปันผลหรือเงินชดเชย จะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี

ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้
ประกันที่ให้ความคุ้มครองรายได้หลังเกษียณ จะเน้นที่ผลตอบแทนเป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันรายได้ในยามที่คุณเลิกประกอบอาชีพแล้วนั่นเอง
โดยประกันในรูปแบบนี้จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 15% ของรายได้ (เงินได้ที่ต้องเสียภาษี) สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรืออาจลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เมื่อยังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กบข. และ กองทุนการออมแห่งชาติ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
นั่นหมายความว่าหากคุณยังใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป ไม่ถึงเพดานสูงสุด 100,000 บาท คุณสามารถนำเบี้ยประกันบำนาญบางส่วนไปหักลบจนครบ 100,000 บาท ก่อนจะนำมาคำนวณหักลบกับ 15% ของรายได้ เป็นส่วนที่สอง
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตแบบบำนาญคือ
-         ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         จ่ายผลประโยชน์เป็นงวดจำนวนเงินเท่ากัน หรือในสัดส่วนที่มากขึ้น เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
-         ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันครบถ้วนก่อนที่จะได้รับผลประโยชน์
-         กำหนดช่วงอายุการจ่ายผลประโยชน์ตั้งแต่ 55 - 85 ปี
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี



2. ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพตนเอง ลดหย่อนภาษีได้
รูปแบบประกันที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ คือประกันที่คุ้มครองอาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ มีการชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ, ประกันอุบัติเหตุเฉพาะ ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะและการแตกหักของกระดูก, ประกันโรคร้าย และ ประกันการดูแลระยะยาว
โดยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และเงินฝากแบบมีประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพตนเองคือ
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี
ประกันสุขภาพของพ่อแม่ ลดหย่อนภาษีได้
ในกรณีที่คุณจ่ายเบี้ยประกันให้กับพ่อแม่ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีเงินได้ สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนในจำนวนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ได้เช่นกัน หรือหากมีการร่วมกันจ่ายกับพี่น้อง ก็สามารถนำมาหารเฉลี่ยตามจำนวนพี่น้องได้เช่นกัน
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพของพ่อแม่คือ
-         ต้องมีความสัมพันธ์เป็นลูกแท้ๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
-         ในกรณีลูกบุญธรรมจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
-         พ่อแม่มีรายได้ต่อปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท
-         ตัวผู้ลดหย่อนหรือพ่อแม่ต้องอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันภายในปีภาษี
การมีประกันชีวิตที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้จะช่วยให้คุณสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือนและผู้ที่มีรายได้ประจำ ก็ควรมองหาตัวเลือกที่สามารถทำให้คุณมีทั้งความคุ้มครองด้านสุขภาพ และสิทธิในการลดหย่อนภาษี


หน้า: [1]