หอพักขอนแก่น,หอพัก ขจรศักดิ์ ขอนแก่น, หอพัก ศศิธร ขอนแก่น, หอพัก ถูก ขอนแก่น, หอพัก อยู่สบาย ขอนแก่น หน้าค่าย ร.8 ใกล้สนามบินขอนแก่น,

ผู้เขียน หัวข้อ: บริหารจัดการอาคาร: ใช้แอร์บ้านอย่างฉลาด ช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากกว่าที่คุณคิด  (อ่าน 55 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2499
    • ดูรายละเอียด

การใช้แอร์ บางครั้งอาจทำให้ค่าไฟสูงกว่าที่คิดไว้ โดยเฉพาะการใช้มากเกินความจำเป็นในช่วงฤดูร้อน ที่ค่าไฟมักสูงกว่าช่วงฤดูอื่นๆ ซึ่งขณะเดียวกัน นอกจากการใช้งานเครื่องปรับอากาศแบบมากเกินไปแล้ว หลายคนก็อาจไม่เคยรู้ว่าพฤติกรรมการใช้แอร์แบบไม่เหมาะสมบางอย่าง ก็เป็นต้นเหตุทำให้ค่าไฟบานปลายได้โดยที่คาดไม่ถึงเช่นกัน

1. ตำแหน่งที่ติดตั้งแอร์ไม่เหมาะสม

ก่อนจะเริ่มใช้แอร์ต้องเริ่มมาจากการคัดเลือกตำแหน่งที่ต้องติดตั้งตั้งแต่เริ่มด้วย ใช่แค่การเปิดแอร์ใช้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรติดตั้งในทิศที่ไม่ใช่ทิศตะวันตก เนื่องจากบริเวณนี้จะโดนแสงอาทิตย์ส่องในช่วงบ่ายทำให้ร้อน ควรติดในที่โล่งไม่เป็นมุมอับ ไม่ใกล้ประตูหน้าต่างเพราะความร้อนจะเข้ามาได้ง่าย เหล่านี้ล้วนแล้วจะทำให้แอร์ทำงานหนัก เปลืองไฟได้ทั้งสิ้น

2. แอร์เครื่องเก่าเกินไป

หากจำเป็นที่จะต้องติดแอร์เก่า หรือใช้แอร์ตัวเดิมที่ใช้งานมานานหลายปีแล้ว ก็ไม่ควรลืมว่าแอร์เก่า อายุงานเยอะถึงแม้ภายนอกจะยังดูสวยงามอยู่ก็ตาม ดังนั้น จึงควรคำนึงถึงการกินไฟของแอร์ด้วย เพราะแอร์จะมีอายุการใช้งาน 15 ปี โดยระบบภายในอาจมีการเสื่อมและกินไฟมากก็เป็นได้ ทางที่ดีควรพิจารณาหาแอร์ตัวใหม่มาเปลี่ยนจะดีกว่า เพราะจะคุ้มค่ากว่ามากนั่นเอง

3. แอร์มีค่า BTU สูงเกินไป

หลายคนยังมีความเชื่อว่าถ้าใช้แอร์ที่มีค่า BTU สูงจะทำให้ห้องเย็นสบายในราคาที่ต้องจ่ายค่าไฟไม่สูงมาก ซึ่งในข้อนี้ไม่เป็นความจริงเลยไม่ว่าแอร์จะมีค่า BTU สูงหรือต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของห้อง ดังนั้นก่อนการติดตั้งแอร์ทุกครั้งต้องคำนวณค่า BTU ที่เหมาะสมเสียก่อนซึ่งในแต่ละห้องก็จะใช้ค่า BTU ไม่เท่ากัน กล่าวคือ

ห้องนอน 700-750 BTU/ตรม.
ห้องครัว ห้องกินอาหารมีการใช้ความร้อน 800-950 BTU/ตรม.
ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตรม.
ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตรม.
ห้องประชุม 850-1,000 BTU/ตรม.

ดังนั้น หากต้องการเลือกติดตั้งแอร์ขนาดใดให้เหมาะกับห้องนั้นๆ ก็ให้นำขนาดของห้องคูณกับจำนวน BTU/ตรม.ดังกล่าว ก็จะได้ขนาดของแอร์ที่เหมาะสม ซึ่งแอร์ที่เหมาะสมช่วยให้ห้องมีความเย็นที่เพียงพอและยังไม่กินไฟอีกด้วย

4. ตั้งแอร์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำ

หลายคนยังมีความเข้าใจที่ผิดว่า ห้องที่สบายควรมีความเย็นมากๆ และต้องปรับให้เย็นเร็วๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจกันเลย เนื่องจากห้องจะเย็นมากๆ เย็นช้าหรือให้ความเย็นเร็วนั้น มีการใช้เวลาในการให้ความเย็นเท่ากันกับการปรับอยู่ที่อุณหภูมิปกติทั้งสิ้น ดังนั้นการทำเช่นนี้นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์ในแง่การให้ความเย็นแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองการใช้ไฟฟ้าอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึงอีกด้วย

5. เปิด-ปิดแอร์บ่อยเกินไป

ข้อนี้ก็เช่นกัน โดยมักเกิดจากความเข้าใจผิดคิดว่า หากไม่ใช้แล้วปิด เมื่อต้องการใช้แล้วจึงค่อยเปิดจะช่วยให้ประหยัดไฟ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้แอร์เกิดการทำงานหนักเพื่อปรับให้ห้องเย็นสม่ำเสมอหลายครั้ง ส่งผลให้ต้องใช้ไฟฟ้ามาก ซึ่งจะเปลืองไฟสูงกว่าการเปิดทิ้งไว้ และปิดน้อยครั้งในแต่ละวันมากกว่า แถมส่งผลให้อายุการใช้งานแอร์สั้นลงยิ่งขึ้นด้วย

6. เปิดพัดลมช่วย

การเปิดพัดลมช่วยขณะที่ห้องยังไม่เย็น จะช่วยให้แอร์ทำงานน้อยลง เพราะเป็นการช่วยทำให้ความเย็นมาสู่คนและห้องได้เร็วขึ้น ช่วยปรับให้อุณหภูมิห้องลงลดได้ 1-2 องศา โดยในข้อนี้ทำง่ายๆ เพียงปรับแอร์ในอุณหภูมิให้ไม่เกิน 27 องศาแอร์ก็จะไม่กินไฟและไม่ทำงานหนักจนเกินไปได้แล้ว

7. ปรับแอร์ขึ้นเฉพาะกลางคืน (ปรับให้อุณหภูมิสูงขึ้น)

กลางคืนเป็นช่วงที่อากาศจะเย็นสบายมากกว่าช่วงกลางวัน ดังนั้นสามารถทำได้ด้วยการปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น 1-2 องศาได้เลย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้แอร์ไม่ทำงานหนัก หรือประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นนั่นเอง

8. ปิดห้องให้มิดชิด

โดยเฉพาะห้องที่มีประตูหน้าต่างหลายๆ บาน การปิดประตูหน้าต่างทุกบาน จะช่วยไม่ให้อุณหภูมิจากภายในไหลออกไปด้านนอก และอุณหภูมิภายนอกที่ร้อนกว่าไหลเข้ามาภายในห้อง หากละเลยข้อนี้จะทำให้แอร์ทำงานหนักกว่าจะปรับให้ห้องเย็นได้ทั่วถึง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากอีกเช่นกัน

9. ควบคุมเวลาในการใช้

ในการตั้งค่าของแอร์ในโหมดของเวลา สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดได้ ดังนั้นหากเวลาใดที่ห้องเย็นแล้วก็สามารถปิดและเปิดพัดลมช่วยได้เลย เช่น ในเวลาเช้ามืดอากาศมักเย็นกว่าช่วงกลางคืน การตั้งเวลาของแอร์ก็สามารถกำหนดเวลาได้ว่าจะให้ปิดในเวลาตี 3-5 หรือตามเวลาที่สะดวกได้เลย

การประหยัดไฟและช่วยไม่ให้แอร์ทำงานหนักนั้น นอกจากความรู้ความเข้าใจ ในการใช้แอร์เบื้องต้นแล้ว การดูแลรักษาแอร์ก็มีส่วนสำคัญมาก ที่จะช่วยให้ค่าไฟลดลงได้ โดยควรล้างแอร์ปีละ 2 ครั้ง บางคนคิดว่าแอร์ยังเย็นสบายอยู่ไม่จำเป็นต้องล้างเพราะสิ้นเปลืองค่าจ้างช่าง ซึ่งจริงๆ แล้วแอร์เมื่อใช้ไปนานๆ ย่อมเกิดความสกปรก ทำให้ทำงานหนัก การเสียเงินเพื่อดูแลแอร์ย่อมคุ้มค่ากว่าเพราะในระยะยาว นอกจากค่าไฟจะลดลงแล้ว แอร์ก็ยังใช้งานได้นาน ไม่เสียง่ายกว่าแอร์ที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาเลยนั่นเอง


บริหารจัดการอาคาร: ใช้แอร์บ้านอย่างฉลาด ช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากกว่าที่คุณคิด อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/
บันทึกการเข้า